02 149 5555 ถึง 60

 

ทัพสธ.พร้อมสู้โควิด กาง 3 แผนรับมือเปิดประเทศ

ทัพสธ.พร้อมสู้โควิด กาง 3 แผนรับมือเปิดประเทศ

ขอ 2 อาทิตย์ศึกษาลดกักตัว 14 วันก่อนชงศบค. วางสถานการณ์ควบคุมโรคไว้ 3 แบบ เตรียมพร้อมทั้งเตียง อุปกรณ์การแพทย์ ยา อุปกรณ์ป้องกันเชื้อ หน้ากาก เผยไทยตรวจหาเชื้อไปแล้วกว่าล้านตัวอย่าง เจอ 3 พันกว่าราย เตรียมขยายห้องปฏิบัติการตรวจให้ครบทั่วไทย พร้อมมาตรการรองรับนักท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 7 ต.ค.63 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้บริหารทุกกรม แถลงเตรียมความพร้อมรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอก 2 โดย กล่าวว่า การระบาดระลอกแรกมีการทำแบบจำลองการระบาดหรือฉากทัศน์ 3 รูปแบบ คือ ระบาดสูงและรวดเร็วมากติดเชื้อราว 16 ล้านคน ชะลอได้มีผู้ป่วย 9.9 ล้านคน และควบคุมได้ มีผู้ป่วย 3 แสนคน แต่ผู้ติดเชื้อโควิดของไทยมีเพียง 3,615 คน ถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะสถานการณ์โรคโควิด 19 ในระยะถัดไปที่จะเปิดประเทศ มีความแตกต่างจากการระบาดครั้งแรก คือ ไม่มีการระบาดวงกว้าง

ทั้งนี้ สถานการณ์อาจเกิดขึ้นได้ 3 รูปแบบ คือ 1.ป้องกันโรคได้ดี มีผู้ติดเชื้อเป็นครั้งคราว 1-2 ราย ควบคุมไม่ให้แพร่กระจายได้ โดยประชาชนต้องสวมหน้ากากมากกว่าร้อยละ 85 เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ เฝ้าระวังอาการ 2.ควบคุมโรคได้เร็ว อาจติดเชื้อ 10-20 คนต่อวัน แต่ควบคุมโรคได้ในเวลาสั้น 3-4 สัปดาห์ ตรงนี้เกิดขึ้นได้หากประชาชนบางส่วนไม่สวมหน้ากาก ผู้ประกอบการละเลยมาตรการป้องกันโรค และ 3.ควบคุมโรคได้ช้า คือ มีคนติดเชื้อเป็นกลุ่ม 100 คนต่อวัน เกิดขึ้นได้หากประชาชนไม่ร่วมมือป้องกันโรค ผู้ประกอบการไม่จัดมาตรการป้องกันโรค และไม่ได้รับความร่วมมือในการติดตามผู้สัมผัสโรค สำหรับข้อเสนอการลดระยะเวลากักตัว 14 วันนั้น อยู่ระหว่างการศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลคาดว่าอีก 2 สัปดาห์ จะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) เพื่อพิจารณา

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาการอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แผนการจัดการในระยะถัดไป คือ การจัดสถานกักกันเพื่อไม่ให้เชื้อเข้าสู่ประเทศ วางระบบเฝ้าระวังและตรวจจับในหลายระดับ หากมีสัญญาณต้องตรวจจับและควบคุมให้ไม่เกิดการระบาดรุนแรง โดยจะควบคุมโรคให้สงบภายใน 4 สัปดาห์ ขยายหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรค 3 เท่าจากที่มีอยู่ 1,000 ทีม เตรียมความพร้อมระบบบัญชาการเหตุการณ์ทุกระดับ เร่งรัดมาตรการที่ด่านควบคุมโรค พื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะที่ติดกับเมียนมาและมาเลเซีย สำหรับกลุ่มเป้าหมายการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการ คือ ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ อาการคล้ายหวัดใหญ่ทุกโรงพยาบาล ผู้ต้องขังแรกรับ แรงงานต่างด้าวพื้นที่ชายแดน กลุ่มพิเศษตามสถานการณ์ เช่น นักกีฬาฟุตบอลไทยลีก กรณีพบผู้ป่วยยืนยัน จะติดตามคนสัมผัสใกล้ชิด ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชน

ด้านนพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีเตียงรองรับ 2 หมื่นกว่าเตียง แบ่งเป็น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2 พันกว่าเตียง ซึ่ง พื้นที่กทม.จะรับคนไข้ได้ 230-400 คนต่อวัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของตัวโรค ส่วนทั่วประเทศรองรับได้ 1,000 - 1,740 คนต่อวัน อย่างไรก็ตาม ยังต้องเตรียมความพร้อมดูแลการเจ็บป่วยโรคอื่นด้วยการแพทย์วิถีใหม่

ขณะที่นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า อุปกรณ์ป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และยารักษาสำหรับโรคโควิด 19 ถือว่ามีเพียงพอ โดยหน้ากาก N95 ระดับประเทศมี 2.2 ล้านชิ้น ดูแลผู้ป่วยได้ 15,500 ราย ชุด PPE มี 1.9 ล้านชิ้น รองรับผู้ป่วย 13,000 ราย และผลิตได้ในประเทศได้ โดยมีโรงงาน 40 แห่ง อัตรากำลังผลิตอยู่ที่ 60,000 ชุดต่อวัน สำหรับหน้ากากอนามัยมี 50 ล้านชิ้น ใช้ได้นาน 120 วัน มีโรงงานผลิต 56 แห่ง กำลังการผลิต 4.7 ล้านชิ้นต่อวัน ยาฟาวิพิราเวียร์คงเหลือ 6.2 แสนเม็ด ใช้กับผู้ป่วยได้ 8,900 ราย

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาการอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ไทยสามารถตรวจเชื้อโควิด 19 ด้วยวิธีมาตรฐาน ปัจจุบันตรวจแล้ว 1,008,000 ตัวอย่าง เจอผู้ติดเชื้อ 3 พันกว่ารายมีห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้ 230 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัด เหลืออีก 4 จังหวัดที่จะพัฒนาให้ตรวจได้ทั้งหมด ขณะที่การสำรองน้ำยาการตรวจเชื้อด้วยวิธีมาตรฐานมีประมาณ 5 แสนชุด ดังนั้น หากมีผู้ป่วยวันละ 1 พันคน โดยต้องตรวจ 5-10 เท่าของผู้ป่วยก็สามารถรองรับได้ ไม่มีปัญหา สำหรับพื้นที่ชายแดนจะมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อมั่นใจ ซึ่งที่ผ่านมามีการสุ่มตรวจกว่า 1 แสนราย ก็พบผลบวกรายเดียวในอดีต ถือว่าประเทศไทยค่อนข้างปลอดภัยพอสมควร รวมทั้ง กรมวิทย์ได้ประกาศราคากลางของการตรวจเชื้อด้วยวิธีมาตรฐานอยู่ที่ 1,600 บาท จากเดิมราคา 2,500-3,000 บาท ก็จะช่วยให้คนเข้าถึงการตรวจมากขึ้น

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า มาตรการรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Special tourist visa หรือ STV มีการจัดสถานกักกันทางเลือกทั้งระดับประเทศ (ASQ) 84 แห่ง และระดับท้องถิ่น (ALSQ) 12 แห่ง ในจังหวัดแหล่งท่องเที่ยว หากมีความพร้อมก็สามารถรองรับกลุ่มแรกที่จะเข้ามาได้เป็นการผ่อนคลายขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศภายใต้หลักการความปลอดภัยของชุมชนและประชาชน ขณะที่การรับผู้ป่วยชาวต่างชาติโรคอื่นๆ มารักษาในโรงพยาบาลกักกันทางเลือก (AHQ) ดำเนินการแล้ว 1,242 คน เป็นระบบปิดมีความปลอดภัย สามารถสร้างรายได้จำนวนมาก

ด้านนพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า มาตรการที่ต้องเพิ่มความเข้มข้น คือ การสแกนไทยชนะก่อนเข้าพื้นที่ กิจการประเภทที่พักยังขาดความเข้มข้นเรื่องการคัดกรองพนักงาน การจำกัดจำนวนผู้มาใช้บริการ และล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกครั้ง โดยไม่ผ่านเกณฑ์ประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ขอให้สถานประกอบการทุกประเภทยังคงเข้มเรื่องวิถีใหม่

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รักษาการอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าฟ้าทะลายโจรว่า จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า ฟ้าทะลายโจรไม่มีฤทธิ์การป้องกันติดเชื้อโควิด 19 แต่หากมีเชื้อไวรัสโควิด 19 ในเซลล์ จะยับยั้งไม่ให้เพิ่มจำนวนได้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการศึกษาในมนุษย์ ซึ่งจากการทดลองกับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในโรงพยาบาลสมุทรปราการ โรงพยาบาลชลบุรี และโรงพยาบาลบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่รับผู้ติดเชื้อจากสถานกักกัน พบว่าได้ผลดี 3 วันหลังติดเชื้อ อาการต่างๆ ลดลงชัดเจนไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย การทำงานของตับและไตอยู่ในเกณฑ์ปกติ จากนี้จะร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ศึกษาเรื่องเภสัชจลนศาสตร์ของฟ้าทะลายโจรต่อไป ส่วนสมุนไพร "กระชาย" มีการทดลองในหลอดทดลองพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งตัวไวรัสโควิด 19 ที่น่าสนใจ โดยจะร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดีพัฒนาต่อไป

ขณะที่นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมมีการสำรองยาและเวชภัณฑ์ และกำลังต่อยอดพัฒนายาสูตรตำรับฟาวิพิราเวียร์ของไทยเอง โดยจะทดลองชีวสมมูลของยาในปี 2564 คาดว่าจะขึ้นทะเบียนยาได้ในเดือนตุลาคม 2564

ด้านนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องวัคซีนว่า ได้ดำเนินการ 1.สนับสนุนการดำเนินการศึกษาวิจัยวัคซีนภายในประเทศ 2.การเจรจาขอความร่วมมือรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากต่างประเทศ ซึ่งหลายประเทศมีการวิจัยในระยะที่ 3 คือการทดสอบประสิทธิผลของวัคซีนในคน เช่น อังกฤษ จีน สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย 3. การจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า ทั้ง COVAX Facility และการตกลงแบบ Bilateral เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศที่ผลิตวัคซีนสำเร็จ

8 October 2563

ที่มา สยามรัฐ

Posted By Nitayaporn/thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 1120

 

Preset Colors