02 149 5555 ถึง 60

 

อึ้ง!!! เปิดสถิติยอดคนไทย‘ฆ่าตัวตายพุ่ง เตรียมตั้ง‘ทีมฉก.ส่องโซเชียลสกัด

อึ้ง!!! เปิดสถิติยอดคนไทย‘ฆ่าตัวตายพุ่ง เตรียมตั้ง‘ทีมฉก.ส่องโซเชียลสกัด

10 กันยายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก” หรือตรงกับวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี เป็นวันที่ทั่วโลกจะช่วยกันรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพจิต และช่วยกันลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายและทำร้ายคนใกล้ชิด โดยในปีนี้กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เตรียมผนึกกำลังกับ กองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าศึกษาสัญญาณการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล และเตรียมพัฒนาและจัดตั้งทีมเฉพาะกิจ เพื่อช่วยเหลือคนที่ส่งสัญญาณการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล วางแผนเตรียมระบบให้พร้อมใช้งานก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อทำงานเชิงรุกรับมือปัญหาการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นจากผลกระทบต่าง ๆ

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยถึงสถานการณ์ปัญหาการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีความน่ากังวลว่าจากภาพรวมอัตราการฆ่าตัวตายของทั้งประเทศในปี 2562 อยู่ที่ 6.64 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือมีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 4,419 รายต่อปี โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องเป็นปัญหาด้านสัมพันธภาพ อาการป่วยกายและจิต สุรา และปัญหาด้านเศรษฐกิจ ตามลำดับ

สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 นั้น มีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 2,551 ราย คิดเป็น 3.89 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2562 (จำนวน 2,092 ราย) โดยปัญหาด้านสัมพันธภาพยังคงเป็นปัจจัยลำดับแรก ตามมาด้วยปัญหาอาการป่วยกายและจิต เศรษฐกิจ และสุรา ตามลำดับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นในอัตรานี้มีความคล้ายคลึงกับการเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ 23 ปีก่อน ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20-30 ในช่วง 3 ปีหลังเกิดวิกฤต

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวอีกว่า กรมสุขภาพจิตยังรู้สึกกังวลต่อสัญญาณการฆ่าตัวตายต่างๆในโลกโซเชียล แม้ปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค จะมีกลไกป้องกันการถ่ายทอดภาพและวิดีโอการทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตายออนไลน์มากขึ้นแล้ว แต่ยังคงพบข้อความที่ส่งสัญญาณที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายอยู่ เช่น ข้อความสั่งเสีย ข้อความบอกลา ข้อความวางแผนการทำร้ายตัวเอง ซึ่งกลุ่มคนที่โพสต์ข้อความต่างๆเหล่านี้ คือ กลุ่มคนที่ควรได้รับความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตอย่างเร่งด่วน แต่บางครั้งไม่สามารถติดต่อให้เข้าสู่ระบบบริการได้ หรือแม้แต่บางครั้งไม่สามารถหาข้อมูลหรือช่องทางติดต่อกลับไปยังบุคคลนั้นได้ ดังนั้นการศึกษาและพัฒนาระบบการทำงานกับกองปราบปรามในด้านการป้องกันการฆ่าตัวตายเชิงรุกในครั้งนี้ จึงถือเป็นการเปิดมิติการทำงานรูปแบบใหม่ของงานด้านสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคตร่วมกับการให้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ด้าน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการปราบปราม กล่าวว่า เราได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และไลฟ์สดฆ่าตัวตายบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยกองปราบปรามร่วมกับกรมสุขภาพจิต และ Influencers ชื่อดังบนโลกออนไลน์ ทั้ง Drama-Addict , หมอแล็บแพนด้า , แหม่มโพธิ์ดำ และอื่นๆได้เริ่มพิจารณาระบบการส่งต่อข้อมูลบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล เพื่อให้ทางกองปราบปรามเร่งประสานสถานีตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเข้าช่วยเหลือบุคคลดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที ถึงแม้ขอบข่ายงานจะอยู่นอกเหนือคดีอาชญากรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปราม

“กองปราบปรามถือว่าการช่วยเหลือบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล เป็นหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของหน่วย เพราะเรามองว่าความทุกข์ของพี่น้องประชาชนก็คือความทุกข์ของเรา อะไรที่เราสามารถเข้าไปช่วยให้พี่น้องประชาชนพ้นภัย หรือให้คลายทุกข์ลงได้บ้างเรายินดีทำเต็มที่ โดยแนวทางการทำงานคือ กองปราบปรามจะมีเจ้าหน้าที่ประจำการคอยประสานกับทาง Influencer และกรมสุขภาพจิตตลอด 24 ชั่วโมง หากเราได้รับการประสานผู้ที่มีความเสี่ยง เราจะช่วยตรวจสอบว่าบุคคลที่มีความเสี่ยงนั้นๆอยู่ในพื้นที่ไหน และจะรีบประสานสถานีตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเข้าให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดจนกว่าจะเรียบร้อย จากนั้นทางกรมสุขภาพจิตก็จะเข้ามาดูแลผู้มีความเสี่ยงต่อไป” ผู้บังคับการปราบปราม กล่าว

ผู้บังคับการปราบปราม กล่าวอีกว่า การทำงานร่วมกันกับกรมสุขภาพจิตนี้ ถือเป็นมิติใหม่ของการทำงานภาครัฐที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ลดความทุกข์ของพี่น้องประชาชน และทางกองปราบปรามอยากฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกท่านว่า ทุกปัญหามีทางออกเสมอ และครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเรามองเห็นบุคคลในครอบครัวมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น การพูดคุยกันเข้าใจกัน หาทางแก้ปัญหาร่วมกัน จะช่วยให้ปัญหาต่างๆคลี่คลายได้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็นซ่อน

15 วิธีทำให้ผมยาว ถ้าคุณหัวล้าน! กำจัดหัวล้านได้ปลิดทิ้ง! คลิกเลย!

ผอมจนเกือบจะปลิว! ระวัง ดื่ม 1 แก้ว เผาผลาญไขมันได้ 4 กก

รวบแล้ว! มือยิงรถบัสรับส่งนักเรียนแล้ว พบเป็นอาสาสมัครทหารพราน

อดทนสู้ม็อบ! ผบ.ตร.กางแผนรับชุมนุม19ก.ย. ยันจนท.ไม่นิยมความรุนแรง จับตา‘มือที่3’ป่วน

'สนธิญา'บุกเดี่ยวสถานทูตสหรัฐ ยื่นหนังสือจี้ไม่ให้แทรกแซงการชุมนุม

'ไทยภักดี'ขอบคุณอธิการมธ.ห้ามจัดม็อบ 19 กันยาฯ หลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตลูกหลาน

'ดร.ซุป'ตอบแล้วข่าว'บิ๊กตู่'ทาบนั่งขุนคลัง ทำนายเศรษฐกิจปีหน้าดีขึ้นแน่

'บุญโทน คนหนุ่ม'จากช่างตัดผม สู่นักร้องเพลงแหล่ระดับประเทศ!

อึ้ง!!! เปิดสถิติยอดคนไทย‘ฆ่าตัวตาย’พุ่ง เตรียมตั้ง‘ทีมฉก.’ส่องโซเชียลสกัด

10 กันยายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก” หรือตรงกับวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี เป็นวันที่ทั่วโลกจะช่วยกันรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพจิต และช่วยกันลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายและทำร้ายคนใกล้ชิด โดยในปีนี้กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เตรียมผนึกกำลังกับ กองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าศึกษาสัญญาณการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล และเตรียมพัฒนาและจัดตั้งทีมเฉพาะกิจ เพื่อช่วยเหลือคนที่ส่งสัญญาณการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล วางแผนเตรียมระบบให้พร้อมใช้งานก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อทำงานเชิงรุกรับมือปัญหาการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นจากผลกระทบต่าง ๆ

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยถึงสถานการณ์ปัญหาการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีความน่ากังวลว่าจากภาพรวมอัตราการฆ่าตัวตายของทั้งประเทศในปี 2562 อยู่ที่ 6.64 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือมีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 4,419 รายต่อปี โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องเป็นปัญหาด้านสัมพันธภาพ อาการป่วยกายและจิต สุรา และปัญหาด้านเศรษฐกิจ ตามลำดับ

สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 นั้น มีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 2,551 ราย คิดเป็น 3.89 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2562 (จำนวน 2,092 ราย) โดยปัญหาด้านสัมพันธภาพยังคงเป็นปัจจัยลำดับแรก ตามมาด้วยปัญหาอาการป่วยกายและจิต เศรษฐกิจ และสุรา ตามลำดับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นในอัตรานี้มีความคล้ายคลึงกับการเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ 23 ปีก่อน ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20-30 ในช่วง 3 ปีหลังเกิดวิกฤต

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวอีกว่า กรมสุขภาพจิตยังรู้สึกกังวลต่อสัญญาณการฆ่าตัวตายต่างๆในโลกโซเชียล แม้ปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค จะมีกลไกป้องกันการถ่ายทอดภาพและวิดีโอการทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตายออนไลน์มากขึ้นแล้ว แต่ยังคงพบข้อความที่ส่งสัญญาณที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายอยู่ เช่น ข้อความสั่งเสีย ข้อความบอกลา ข้อความวางแผนการทำร้ายตัวเอง ซึ่งกลุ่มคนที่โพสต์ข้อความต่างๆเหล่านี้ คือ กลุ่มคนที่ควรได้รับความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตอย่างเร่งด่วน แต่บางครั้งไม่สามารถติดต่อให้เข้าสู่ระบบบริการได้ หรือแม้แต่บางครั้งไม่สามารถหาข้อมูลหรือช่องทางติดต่อกลับไปยังบุคคลนั้นได้ ดังนั้นการศึกษาและพัฒนาระบบการทำงานกับกองปราบปรามในด้านการป้องกันการฆ่าตัวตายเชิงรุกในครั้งนี้ จึงถือเป็นการเปิดมิติการทำงานรูปแบบใหม่ของงานด้านสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคตร่วมกับการให้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ด้าน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการปราบปราม กล่าวว่า เราได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และไลฟ์สดฆ่าตัวตายบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยกองปราบปรามร่วมกับกรมสุขภาพจิต และ Influencers ชื่อดังบนโลกออนไลน์ ทั้ง Drama-Addict , หมอแล็บแพนด้า , แหม่มโพธิ์ดำ และอื่นๆได้เริ่มพิจารณาระบบการส่งต่อข้อมูลบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล เพื่อให้ทางกองปราบปรามเร่งประสานสถานีตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเข้าช่วยเหลือบุคคลดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที ถึงแม้ขอบข่ายงานจะอยู่นอกเหนือคดีอาชญากรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปราม

“กองปราบปรามถือว่าการช่วยเหลือบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล เป็นหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของหน่วย เพราะเรามองว่าความทุกข์ของพี่น้องประชาชนก็คือความทุกข์ของเรา อะไรที่เราสามารถเข้าไปช่วยให้พี่น้องประชาชนพ้นภัย หรือให้คลายทุกข์ลงได้บ้างเรายินดีทำเต็มที่ โดยแนวทางการทำงานคือ กองปราบปรามจะมีเจ้าหน้าที่ประจำการคอยประสานกับทาง Influencer และกรมสุขภาพจิตตลอด 24 ชั่วโมง หากเราได้รับการประสานผู้ที่มีความเสี่ยง เราจะช่วยตรวจสอบว่าบุคคลที่มีความเสี่ยงนั้นๆอยู่ในพื้นที่ไหน และจะรีบประสานสถานีตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเข้าให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดจนกว่าจะเรียบร้อย จากนั้นทางกรมสุขภาพจิตก็จะเข้ามาดูแลผู้มีความเสี่ยงต่อไป” ผู้บังคับการปราบปราม กล่าว

ผู้บังคับการปราบปราม กล่าวอีกว่า การทำงานร่วมกันกับกรมสุขภาพจิตนี้ ถือเป็นมิติใหม่ของการทำงานภาครัฐที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ลดความทุกข์ของพี่น้องประชาชน และทางกองปราบปรามอยากฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกท่านว่า ทุกปัญหามีทางออกเสมอ และครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเรามองเห็นบุคคลในครอบครัวมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น การพูดคุยกันเข้าใจกัน หาทางแก้ปัญหาร่วมกัน จะช่วยให้ปัญหาต่างๆคลี่คลายได้

11 September 2563

ที่มา แนวหน้า

Posted By Nitayaporn/thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 1492

 

Preset Colors