02 149 5555 ถึง 60

 

สถิติผู้สูงอายุฆ่าตัวตายสูงอันดับ 2 อาชีพตำรวจก็ด้วย

สถิติผู้สูงอายุฆ่าตัวตายสูงอันดับ 2 อาชีพตำรวจก็ด้วย

27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 14:48 น.

กรมสุขภาพจิต ชี้สถิติการฆ่าตัวตายสำเร็จในผู้สูงอายุสูงเป็นอันดับ2 ต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และสาเหตุการฆ่าตัวตายในของตำรวจส่วนใหญ่ คือ อาการซึมเศร้า นอกจากนี้ยังพบว่า การพบเจอกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญบ่อยๆ เช่น อาชญากรรม การฆาตรกรรม เสี่ยงให้เกิดโรค PTSD (Post Traumatic Stress Disorder) หรือโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจซึ่งหากไม่ได้รับการบำบัดจะทำให้ เพิ่มความเสี่ยงของพฤติกรรมฆ่าตัวตายได้ ชี้อาชีพตำรวจเสี่ยงฆ่าตัวตายสูง สถิติปี51-55 ฆ่าตัวตายเฉลี่ยปีละ29 คน

วันนี้ (27 ก.พ.) น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 4,000 คนต่อปี อยู่ในวัยทำงานมากเป็นอันดับ 1 และวัยสูงอายุ มากเป็นอันดับ 2 โดยสาเหตุการฆ่าตัวตายในผู้สูงอายุ 3 อันดับแรกคือ ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด , โรคเรื้อรังทางกาย , และโรคซึมเศร้าตามลำดับ สำหรับการป้องกันแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตาย กรมสุขภาพจิต ได้ใช้มาตรการป้องกันการฆ่าตัวตายซ้ำควบคู่กับการเพิ่มการเข้าถึงบริการ โดยเชื่อมโยงข้อมูลผู้พยายามฆ่าตัวตายในระบบฐานข้อมูลสาธารณสุข(HDC)

ทั้งนี้พบว่า ร้อยละ 15ของผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นการพยายามฆ่าตัวตายซ้ำ ซึ่งปัญหาการฆ่าตัวตายในผู้สูงอายุ สืบเนื่องจากปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรโลกที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ คาดการณ์อีก 8 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 14.9 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มประชากรสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่บุคคลมีอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายและสมองย่อมเสื่อมถอยลง ความสามารถในการทำงานย่อมลดน้อยลงไป รวมทั้งอาจมีข้อจำกัดในการปรับตัว ส่งผลให้ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งเกิดภาวะเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการดำรงชีวิต ความพึงพอใจในชีวิตลดลง กรมสุขภาพจิตจึงได้ดำเนินการพัฒนาเครื่องมือประเมินความพึงพอใจของผู้สูงอายุไทยอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้สูงอายุกลุ่มป่วยคือ ผู้สูงอายุสมองเสื่อมที่มีปัญหาพฤติกรรมและจิตใจ, ผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้า 2)ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาสุขภาพ คือ โรคเรื้อรัง, ติดบ้าน, ติดเตียงและ 3) ผู้สูงอายุกลุ่มดี ในชมรมผู้สูงอายุ

นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ เปิดเผยว่า ในฐานะที่โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ ได้รับมอบหมายจากกรมสุขภาพจิต ให้เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบงานด้าน การป้องกันปัญหาฆ่าตัวตาย ได้พัฒนาแอพลิเคชั่น “สบายใจ” เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายเชิงรุก ให้มีความน่าสนใจ และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงง่าย อย่างไรก็ตามเพื่อให้การป้องกันการฆ่าตัวตายได้ผลดียิ่งขึ้นอยากขอให้สังคมและประชาชนร่วมช่วยกันเฝ้าระวังปัญหาโดยสังเกตผู้ป่วยที่อาจมีความเสี่ยงฆ่าตัวตาย 5 กลุ่มได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยโรคจิตเวช กลุ่มสูญเสีย หรือผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุรุนแรง กลุ่มที่มีประวัติการฆ่าตัวตาย กลุ่มพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์หุนหันพลันแล่น และ กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หากพบว่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจากเดิม เช่น เก็บตัว ท้อแท้สิ้นหวัง หมดหวังในชีวิต พูดสั่งเสีย ถือว่าเป็นสัญญาณเตือน ขอให้รีบไปพูดคุย จัดการปัญหาให้เบื้องต้น หากยังไม่ดีขึ้น ให้รีบพาไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านให้เร็วที่สุด หรือโทรปรึกษาสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับปัญหาการฆ่าตัวตายในกลุ่มอาชีพตำรวจ นพ.ปทานนท์ ขวัญสนิท จิตแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์หลายชิ้นที่สนับสนุนว่าตำรวจมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงมากเมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป โดย มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง2อันดับ แรกคือ ภาวะวิกฤติในชีวิตและปัญหาสุขภาพจิต ที่พบบ่อย ได้แก่ อาการซึมเศร้า อาการโรคจิตและใช้สารเสพติด นอกจากนี้ยังพบว่า ตำรวจมีโอกาสพบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่น เช่น อาชญากรรม การฆาตรกรรม การฆ่าตัวตายการข่มขืน ฯลฯซึ่งเสี่ยงให้เกิดโรค PTSD( Post Traumatic Stress Disorder) หรือโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจซึ่งหลายการศึกษาสนับสนุนว่า หากไม่ได้รับการบำบัดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อพฤติกรรมฆ่าตัวตายในกลุ่มอาชีพตำรวจได้

จากการเก็บข้อมูลการฆ่าตัวตายของตำรวจในประเทศไทยพบว่า ตั้งแต่ปี 2551-2555 มีการฆ่าตัวตายเฉลี่ยปีละ 29 นาย และเพิ่มขึ้น เป็นเฉลี่ยปีละ 34 นาย ในปี 2557 โดยกลุ่มที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 41-50 ปี เป็นยศดาบตำรวจ และรับผิดชอบงานป้องกันและปราบปราม ส่วนข้อมูลทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศพบว่ากลุ่มเสี่ยง ได้แก่กลุ่มคนผิวขาว อายุมาก และรับผิดชอบงานด้านอาชญากรรมซึ่งมีความเครียดสูง ซึ่งการดูแลก็เหมือนบุคคลทั่วไป คือ คนใกล้ชิดควรสังเกตอาการเตือน เช่น การพูดถึงการตายเชิงสั่งเสีย อารมณ์ที่ผิดปกติไปจากเดิม โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ดังต่อไปนี้ 1)ผู้ที่เกิดภาวะวิกฤตไม่ว่าจากการสูญเสียทั้งด้านการงานหรือคนที่รัก 2)ผู้ที่แยกตัวจากสังคมหรืออยู่คนเดียว 3)ผู้มีประวัติฆ่าตัวตายมาก่อนและ 4)ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ อย่างไรก็ตามการดูแลสุขภาพจิตตำรวจในระบบก็จะมี รพ.ตำรวจให้การดูแลและรวมถึงรพ.ทั้งรัฐบาลและเอกชนที่มีจิตแพทย์ก็สามารถขอคำปรึกษาและรับบริการได้”นพ.ปทานนท์ กล่าว.และว่า ความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญไม่ได้เป็นได้เฉพาะตำรวจ แต่เกิดคนได้กับทุกกลุ่ม ดังนั้นคนใกล้ชิดก็ต้องมีการดูแลผู้มีกลุ่มเสี่ยงหลังจากเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญ.

28 February 2561

ที่มา ไทยโพสต์

Posted By STY_Lib

Views, 8370

 

Preset Colors