โควิด” – พิษลึก
“โควิด” – พิษลึก
ถนนสุขภาพ เรื่องโดย... นพ.สันต์ หัตถีรัตน์
“โควิด-19” (COVID-19) ภาวะ เป็นโรคอุบัติใหม่ที่แม้ว่าจะระบาดมากกว่า 2 ปีแล้ว แต่เรายังรู้จักโรคนี้ไม่ดีนัก มักจะมีข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เรายังต้องระวังตัวไม่ให้ “การ์ดตก” แม้จะฉีดวัคซีนครบ 2-3 เข็มแล้วก็ตาม
แม้ว่า “โควิด-19” จะทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (ประมาณ 80-90%) ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยคล้ายอาการไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ที่มักจะหายเองได้โดยผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็น “โควิด-19” เพราะไม่ได้ตรวจ RT-PCR หรือ ATK (วิธีตรวจว่าติดเชื้อ SARS-CoV-2 หรือไม่)
ประมาณ 10-20% ของผู้ป่วย “โควิด-19” ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล (คือ ผู้ป่วยที่เราเรียกว่า “สีเหลือง” ถึง “สีแดง”) และประมาณ 10-20% ของผู้ป่วยเหล่านี้จะป่วยหนัก (ต้องเข้า “ICU” และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพราะปอดเสียหายมากจนแลกเปลี่ยนเอาออกซิเจนจากอากาศไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เพียงพอ)
ประมาณ 2% ของผู้ป่วย “โควิด-19” ทั่วโลกได้เสียชีวิตแล้ว และเราหรือประชาชนทั่วไปมักจะคิดว่า เสียชีวิตเพราะปอดถูกทำลายเป็นสำคัญ
อันที่จริง “โควิด-19” ไม่ได้ทำความเสียหายให้แก่ปอดเท่านั้น เท่าที่ทราบในปัจจุบันจากการตรวจด้วยวิธีการต่างๆ ที่มีอยู่ โดยไม่มี “การผ่าตรวจศพ” (autopsy) เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ (ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจะถูกห่อหุ้มด้วยถุงกันเชื้อ 2 ชั้น และผู้ที่เคลื่อนย้ายศพไปเผาหรือฝังภายใน 24 ชั่วโมง ต้องใส่ชุด PPE ป้องกันตนอย่างเต็มที่ แม้แต่สัปเหร่อก็ต้องสวมชุด PPE เช่นกัน)
ดังนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับความเสียหายของอวัยวะต่างๆ จังยังไม่สมบูรณ์ แต่ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ทำให้เห็นว่า “โควิด-19” มีพิษกว้างขวางและลึกล้ำ (“โควิด”-พิษลึก) กว่าไข้หวัดใหญ่มาก เช่น
1. ภาวะ “โควิดยาว” หรือ “ลองโควิด” (Long COVID) หรือ “อาการหลังโควิด” (Post COVID Syndrome)
คือ ภาวะที่หายจากการติดเชื้อแล้ว (ตรวจไม่พบเชื้อโควิดแล้วแม้จะตรวจแล้วตรวจอีก) ตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ยังมีหรือกลับมีอาการต่างๆ นาๆ อย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์เป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดไป!
อาการของ “โควิดยาว” มีมากกว่า 200 อาการ ที่พบบ่อย เช่น เหนื่อยล้า เหนื่อยง่าย หายใจเร็ว หอบ เจ็บหน้าอก ใจสั่น ปวดศีรษะ สมองตื้อ/ล้า ปวดกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ เป็นต้น
ซึ่งพบประมาณ 10-40% ของผู้ป่วยหลังติดเชื้อโควิดไม่แต่เฉพาะกับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก แต่เกิดกับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการด้วย
2. ภาวะ “มิส-เอ” (MIS-A, Multisystem Inflammatory Syndrome in Adults)
คือ ภาวะที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยอายุ 21 ปีขึ้นไป และรักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่ 24 ชั่วโมงขึ้นไป หรือผู้ป่วยที่เสียชีวิตโดยไม่พบสาเหตุอื่น (เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด การกำเริบของโรคเดิมที่เป็นอยู่) และพบเกณฑ์ในการวินิจฉัยดังนี้
2.1 เกณฑ์ทางคลินิก (clinical criteria) : มีไข้ ≥36 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือภายใน 3 วันแรกที่อยู่ในโรงพยาบาลร่วมกับอีก 3 หลักเกณฑ์ (โดยต้องมีเกณฑ์หลักอย่างน้อย 1 เกณฑ์) ดังนี้
ก. เกณฑ์หลัก (primary clinical criteria) คือ
ก.1 หัวใจป่วยรุนแรง: กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, เยื่อหุ้มหัวใจโป่งพอง, หรือหัวใจทำงานผิดปกติที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คือ หัวใจบีบตัวน้อยลง (<50%) การนำไฟฟ้าจากหัวใจห้องบนสู่ห้องล่างถูกปิดกั้นมาก (2nd to 3rd degree AV block) หรือหัวใจห้องล่างเต้นเร็ว
ก.2 ผื่นตามผิวหนัง (rash) + เยื่อบุตาอักเสบแบบไม่เป็นหนอง (non-purulent conjunctivitis)
ข. เกณฑ์รอง (secondary clinical criteria) คือ
ข.1 อาการทางระบบประสาทที่เพิ่งเกิด คือ สติปัญญาลดลง, ชัก, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเส้นประสาทส่วนปลายพิการ และกลุ่มอาการกิลแลงบาร์เร (Guillain-Barre’ syndrome)
ข.2 ช็อกหรือความดันเลือดต่ำ ที่ไม่ได้เกิดจากยาหรือการรักษา
ข.3 ปวดท้อง คลื่นไส้ หรืออาเจียน
ข.4 เกล็ดเลือดต่ำ (<150ล000/มม.3)
2.2 เกณฑ์ทางห้องปฏิบัติการ (laboratory criteria) คือ
2.2.1 ผลเลือดที่แสดงการอักเสบอย่างน้อย 2 อย่าง คือ การเพิ่มขึ้นของ C-reactive protein, ferritin , IL-6, ESR และ procalcitonin
2.2.2 ผลตรวจว่าติดเชื้อโควิด โดย RT-CPE, ATK หรือภูมิต้านทานโควิด
หมายเหตุ: เกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นต้องพบภายใน 3 วันแรกที่อยู่ในโรงพยาบาล
3. ภาวะ “มิส-ซี” (MIS-C, Multisystem Inflammatory Syndrome in Children)
คือ ภาวะที่เกิดในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 21 ปีที่โรงพยาบาลด้วย...
1) อาการไข้ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป เป็นเวลาอย่างย้อย 24 ชั่วโมง
2) หลักฐานทางห้องปฏิบัติการว่ามีการอักเสบ (ดูข้อ 2.2.1 + อื่นๆ เช่น fibrinogen, d-dimer, LDH)
3) หลักฐานทางคลินิกที่บ่งว่ามีอวัยวะสำคัญ (หัวใจ, ตับ, ไต, ปอด, กระเพาะ, ลำไส้, ผิวหนัง, ระบบเลือด และ/หรือระบบประสาท) อย่างน้อย 2 อวัยวะเกิดอันตราย
4) หลักฐานที่แสดงว่ามีการติดเชื้อโควิด (ดู 2.2.2)
5) ไม่สามารถหาสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิด 1) +2) +3) ได้ขึ้
หมายเหตุ: ผู้ป่วยอายุ <21 ปีที่เสียชีวิต และมีหลักฐานว่าติดเชื้อโควิด ให้พิจารณาว่าเกิดจากภาวะ “มิส-ซี” ด้วย
4. ภาวะ “สมองเสื่อม” (dementia) และ “สมองฝ่อ” (brain atrophy)
จากการวิจัยเปรียบเทียบภาพถ่ายคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กสมอง (brain MRI) ในธนาคารข้อมูลของสหราชอาณาจักร (UK Biobank) ที่มีภาพ MRI ของคนอังกฤษมากกว่า 45,000 คน ย้อนหลังถึง พ.ศ.2557 แล้วขออาสาสมัครทั้งที่ติดและไม่ติดเชื้อโควิดมาถ่ายภาพ MRI สมองใหม่ใน พ.ศ.2563
มีอาสาสมัครที่ติดเชื้อโควิด 394 คน และที่ไม่ติดเชื้อ 388 คน เข้าร่วมในการวิจัย ผู้วิจัยได้เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของภาพ MRI ในแต่ละคนของทั้ง 2 กลุ่ม โดยแยกตามเพศ อายุ สถานที่ ปัจจัยสุขภาพ และเศรษฐกิจ
เริ่มมีการเผยแพร่ผลวิจัยเบื้องต้นในกลางปี 2564 พบว่า สมองส่วนสีเทา (grey matter) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์ประสาท (cell bodies) ที่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลในสมองกลีบหน้า (frontal lobes) และกลีบขมับ (temporal lobes) มีขนาดลดลงอย่างชัดเจนในกลุ่มผู้ติดเชื้อเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ไม่ติดเชื้อ
ที่สำคัญคือ ขนาดหรือปริมาตรของสมองที่ลดลงในผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อย (ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล) จะใกล้เคียงกับของผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วย
หมายเหตุ: 1) สมองกลีบหน้า (frontal lobes) จะเกี่ยวข้องกับการคิด การวิเคราะห์ ฯลฯ ที่สัมพันธ์กับเรื่องสติปัญญาเป็นสำคัญ
2) สมองกลีบขมับ (temporal lobes) จะเกี่ยวข้องกับการรับกลิ่น โดยวิเคราะห์ข้อมูลจาก “ปุ่มกลิ่น” (olfactory bulb) และมีสมองส่วนฮิปโพแคมปัส (hippocampus) ซึ่งเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับการชรา (แก่) เร็วหรือช้า เพราะเกี่ยวข้องกับความจำและความรู้ความเข้าใจด้วย
โดยสรุปก็คือ ผู้ป่วยโควิด-19 จะมีภาวะ “สมองเสื่อม” และ “สมองฝ่อ”เสมือนกับว่า แก่เร็วขึ้นนั้นเอง
3) สมองส่วนสีขาว (white matter) คือ สมองส่วนที่เป็นที่อยู่ของส้นประสาท ที่มีปลอกหุ้ม ซึ่งเป็นตัวนำคลื่นไฟฟ้าระหว่างเซลล์ประสาท (ในสมองส่วนสีเทา) กับอวัยวะที่ปลายเส้นประสาท สมองส่วนสีขาวนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างผู้ที่ติดเชื้อกับผู้ที่ไม่ติดเชื้อโควิด
ข้อมูลเกี่ยวกับผลร้ายของ “โควิด-19” อาจจะมีเพิ่มเติมขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราเรียนรู้โรคนี้มากขึ้น
ผู้เขียนจึงหวังว่า เราทุกคนจะป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อโควิด โดยการดำรง “ชีวิตวิถีใหม่” แม้จะฉีดวัคซีนครบแล้วก็ตาม
อย่าพยายามติดเชื้อเพื่อหวัง “เงินประกัน” เลย!!!
หมอชาวบ้าน ปีที่ 43 ฉบับที่ 513 เดือนมกราคม 2565
3 February 2565
By STY/Lib
Views, 1733