รับวัคซีนให้ปลอดภัย ถูกที่ ถูกเวลา
HOW TO รับวัคซีนให้ปลอดภัย ถูกที่ ถูกเวลา
เรื่องโดย ชวลิดา เชียงกูล
มีหลายล้านคนจากหลากหลายประเทศทั่วโลกที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 (COVID-19) อย่างปลอดภัยแล้ว ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนนั้นจะทำให้พวกเราทุกคนกลับไปทำในสิ่งที่เราชอบกับคนที่พวกเรารักได้อีกครั้ง
แต่ในช่วงเวลาที่การระดมฉีดวัคซีนทั่วทุกมุมโลกยังคงดำเนินไปอย่างเต็มความสามารถเท่าที่แต่ละภูมิภาคทำได้ยังคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับขั้นตอนการฉีดและสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่จะได้รับวัคซีน
เรานำข้อมูลจากร้อยเอก นายแพทย์สุรชา ลีลายุทธการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ป้องกัน เกี่ยวกับขั้นตอนการฉีดวัคซีน และเคล็ดลับในสิ่งที่คุณสามารถทำได้ก่อน ระหว่าง และหลังการฉีดวัคซีน โดยแบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล ทั้งสำหรับกลุ่มคนทั่วไปที่รับวัคซีนได้ทันทีและกลุ่มที่ต้องระวังในการรับวัคซีนมาฝากกันดังนี้
เช็กตัวเองก่อนรับวัคซีนโควิด-19
การเช็กความพร้อมของร่างกายตัวเองก่อนเข้ารับวัคซีนถือเป็นก้าวที่สำคัญ หลังจากก้าวแรกคือการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนนั้นได้ข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว
ทั้งนี้ร้อยเอก นายแพทย์สุรชาได้อ้างอิงถึงข้อมูลล่าสุดจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ที่ได้จัดทำแนวทางเวชปฏิบัติการให้วัคซีนโควิด-19 แก่คนทั่วไปและผู้ป่วยอายุรกรรม เพื่อให้แพทย์และผู้มีความประสงค์เข้ารับวัคซีนได้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย
กลุ่มที่สามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย และแนะนำให้ได้รับการฉีดทันทีที่ทำได้
โดยในกลุ่มนี้จะครอบคลุมบุคคล 6 ประเภท ดังนี้
1. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวซึ่งอยู่ในภาวะคงที่ เช่น
● โรคความดันเลือดสูงหรือโรคเบาหวานซึ่งไม่มีภาวะวิกฤติ แม้ยังควบคุมระดับความดันเลือด
หรือระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ตามเป้าหมาย
● โรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ
● โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
● โรคติดเชื้อเอชไอวี
● โรคข้ออักเสบ/โรคแพ้ภูมิตัวเอง
● โรคสะเก็ดเงิน
● โรคภูมิแพ้
● ภาวะสมองเสื่อม
● อัมพาต อัมพฤกษ์
● โรคไตเรื้อรัง
● ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบาง
● โรคหืด/ปอดอุดกั้นเรื้อรัง
● ผู้ป่วยโรคไขกระดูกฝ่อ (Aplastic Anemia)
2. ผู้ป่วยที่ได้รับหรืออยู่ระหว่างได้รับการบำบัดด้วยยาและวิธีการต่างๆ เช่น
● เคมีบำบัด รังสีรักษา
● การบำบัดทดแทนไต
● ยากดภูมิคุ้มกันที่อาการของโรคสงบ
● เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดทุกชนิด
● อิมมูโนโกลบูลินเข้าหลอดเลือดดำ
● ยาสูดสเตียรอยด์
● ยาควบคุมอาการของโรคต่างๆ
3. ผู้ป่วยที่เลือดออกง่าย เช่น
● โรคเลือดออกง่าย
● เกล็ดเลือดต่ำหรือเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ
● ได้รับยาต้านเกล็ดเลือด/ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ใช่วาร์ฟาริน เช่น Aspirin,Clopidogret,Ticagrelor,Prasugrel
ได้รับยาวาร์ฟารินต้านการแข็งตัวของเลือด
● กรณีมีผลตรวจระดับ INR ต่ำกว่า 4.0 ภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีผลระดับ INR ก่อนหน้านี้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 มาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือปรับขนาดยา และไม่จำเป็นต้องตรวจ INR ก่อนรับวัคซีน
โดยให้รับการฉีดด้วยเข็มฉีดยาขนาดเล็ก 25G หรือ 27G ฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขน แล้วกดตำแหน่งที่ฉีดไว้นานประมาณ 5 นาที จากนั้นอาจประคบเย็นต่อด้วยน้ำแข็งหรือเจลเย็น
4. บุคคลที่มีประวัติแพ้อาหารหรือแพ้ยาต่างๆ
5. ผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับทราบข้อมูลได้ (เช่น ผู้ป่วยสมองเสื่อม ผู้ป่วยติดเตียง) ควรให้บุคคลซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมรับทราบข้อมูลและตัดสินใจแทน
6. ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว
กลุ่มที่แนะนำให้รับวัคซีนโควิด-19 ได้ แต่มีข้อพิจารณาเพิ่มเติม
โดยจะครอบคลุมบุคคล 6 ประเภท ดังนี้
1. บุคคลที่มีประวัติแพ้รุนแรงอย่างเฉียบพลัน (Anaphylaxis) จากวัคซีนอื่นมาก่อน แนะนำให้ตรวจสอบส่วนประกอบของวัคซีนที่ผู้ป่วยเคยแพ้ และให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิดที่ไม่มีส่วนประกอบเดียวกันกับวัคซีนที่เคยแพ้ได้ทันที
2. ผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการหรืออาการยังไม่เสถียรหรือยังมีอาการที่เป็นอันตรายต่อชีวิต (Life-threatening) เช่น
● ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome)
● ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Decompensated Heart Failure)
● โรคความดันเลือดสูงฉุกเฉิน (Hypertensive Emergency)
● โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (Acute Stroke) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง/โรคหืดที่มีอาการกำเริบ (Acute Exacerbation of COPD/Asthma)
● ผู้ป่วยหลังรับการผ่าตัด แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทันทีเมื่อควบคุมอาการได้คงที่แล้วหรือก่อนจำหน่ายกลับ
3. ผู้ป่วยที่มีระดับเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรง แนะนำให้รอจนกระทั่งพ้นช่วงที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรง แล้วรีบจัดให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทันทีที่จำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลเกิน 1,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร
4. ผู้ป่วยโรคเลือดซึ่งได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) หรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T Cell แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลังปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน CAR-T Call
5. ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไต ตับ ปอด หัวใจ แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือนหลังผ่าตัดและมีอาการคงที่แล้ว หรือเมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับการรักษาภาวะปฏิเสธอวัยวะ โดยให้ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อน
6. ผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดด้วยแอนติบอดี (Antibody Therapy) หรือได้รับยาแอนติบอดี (Antibody Drugs:-mab) แนะนำให้รับวัคซีนโควิด-19 ได้ดังนี้
● ผู้ป่วยโควิด-19 ที่เคยได้รับการบำบัดด้วยพลาสมาจากผู้ป่วยที่หายจากโควิด-19 (Convalescent Plasma Containing Anti-SARS-CoV-2 Antibodies) หรือ Monoclonal Antibodies for Treatment of COVID-19 (Casirivimab & Imdevimab) แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 3 เดือนหลังได้รับการบำบัดดังกล่าว
● ผู้ป่วยที่ได้รับยา Rituximab แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 1 เดือนหลังได้รับยาดังกล่าว หรือ ก่อนให้ยา Rituximab ครั้งแรกอย่างน้อย 14 วัน
● ผู้ป่วยที่ได้รับยาแอนติบอดีขนานอื่น เช่น Omalizumab,Benralizumab,Dupilumab แนะนำให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อพ้น 7 วันก่อนหรือหลังได้รับยาดังกล่าว
นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 546 ปีที่ 23 วันที่ 1 กรกฏาคม 2564
26 January 2565
By STY/Lib
Views, 1059