02 149 5555 ถึง 60

 

ผู้หญิงที่มี BMI สูงกว่า 29

อันตรายสำหรับผู้หญิงที่มี BMI สูงกว่า 29

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่รู้ดีว่าความอ้วนจนเกินไปทำให้ชีวิตและจิตใจมีปัญหา ถึงขนาดที่สามารถทำให้คนๆ นั้นตายได้ แต่คนเหล่านี้ ก็มักจะรู้สึกว่า คำแนะนำใดๆ ไม่ว่าจะจากเพื่อนหรือจากหมอก็ตาม ที่จะให้กินน้อยลงแล้วน้ำหนักตัวก็จะลดลงเองนั้น ไม่จริง และนั่นก็คือความจริง เพราะคนแต่ละคนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาหารไม่เหมือนกัน คนบางคนถึงจะกินอย่างมูมมามสักปานใด แต่ร่างกายก็ยังคงสภาพผอม ส่วนบางคนแม้แต่กินไม่มากแต่ร่างกายก็จะบวมฉุทันตาเห็น

นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นหาเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้ และก็ได้พบว่า ในร่างกายของคนนั้นตามปกติเนื้อเยื่อ จะเผาผลาญแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับเข้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ แค่ความสามารถในการกำจัดไขมันนี้จะลดลงๆ เมื่อคนๆ นั้นอายุมากขึ้น และนั่นก็คือเหตุผลว่าเหตุใดคนที่มีอายุมากตามปกติจะอ้วน นอกจากปัจจัยเรื่องอายุแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็ยังได้พบว่ากรรมพันธุ์ การไม่ออกกำลังกายและพฤติกรรมการกินก็มีส่วนทำให้คนอ้วนได้ทั้งสิ้น

คณะนักวิจัยจาก Harvard School of Public Health และ Harvard Medical School ได้ตีพิมพ์งาน วิจัยใน วารสาร The Journal of the American Medical Association ว่าในการศึกษาสตรี 116,000 คน เป็นเวลานาน 14 ปี เขาพบว่าสตรีที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มตั้งแต่ 5-8 กิโลกรัม เมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคน จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจวายเพิ่มขึ้น 25% แต่ถ้าหากน้ำหนักตัวเพิ่ม 8-11 กิโลกรัม โอกาสที่จะเป็นโรคเดียวกันนี้จะเพิ่มสูงถึง 60% และถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่า 11 กิโลกรัม โอกาส ดังกล่าวจะเพิ่มสูงถึง 300% ทั้งนี้เพราะคนเหล่านี้มีไขมันในเลือดมาก และระดับน้ำตาลในเลือดก็สูง ความดันโลหิตจึงสูงตามไปด้วย

สำหรับกรณีผู้ชายที่มีน้ำหนักตัวมาก ความรุนแรงและความร้ายแรงของภัยอ้วนก็ยิ่งมาก เพราะผู้หญิงน้ำหนักตัวจะเพิ่มในบริเวณ ที่ต่ำกว่าสะเอว ทำให้เป็นโรคหัวใจน้อย แต่ในกรณีผู้ชาย น้ำหนักตัวที่เพิ่มจะเกิดในบริเวณเหนือสะเอว นั่นหมายความว่าผู้ชาย จะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคความดันสูง เบาหวาน หัวใจ และเส้นเลือดในสมองแตก

เมื่อความอ้วนเป็นภัยเช่นนี้ ปัญหาที่นักวิจัยโรคอ้วนกำลังสนใจมากคือ เกณฑ์กำหนดว่า คนเราต้องมีไขมันในร่างกายมากน้อย เพียงใด เราจึงจะถือได้ว่าเขาอ้วนเกินไปและเราจะมีหนทางรักษาโรคอ้วนได้หรือไม่และอย่างไร

สถิติที่ได้จากการสำรวจในสหรัฐอเมริการายงานว่า คนอเมริกันเสียชีวิตด้วยโรคอ้วนปีละ 3 แสนคนและใช้เงินรักษาโรคอ้วน ประมาณปีละ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งคนเหล่านี้นิยมใช้วิธีอดอาหารและกินยาบางประเภท นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องสูญเสียเงิน รักษาคนอ้วนเหล่านี้ถึงปีละ 3 ล้าน ล้านบาท และเมื่อค่ารักษาและยาต่างๆ มีราคาแพงขึ้นๆ ทุกวัน ภัยอ้วนจึงดูรุนแรงขึ้นๆ ตลอดเวลา ยิ่งมีการตรวจพบว่า คนอเมริกา ที่มีอายุเกิน 20 ปีกว่า 30% มีน้ำหนักตัวเกินพอดี และเกือบ 25% มีอาการอ้วนจนเกินไป สหรัฐอเมริกาจึงต้องประกาศว่าประเทศ ของตนกำลังถูกโรคอ้วนคุกคามแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้เชี่ยวชาญโรคอ้วนหลายคนเสนอความเห็นว่า ภัยอ้วนที่กลัวกัน และพูดถึงกันนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่พูดกันเกิน ความจริง โดยให้เหตุผลว่าถึงความอ้วนจนเกินไป จะทำให้อายุสั้น แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า หากคนๆ นั้นลดน้ำหนักตัวแล้ว เขาจะมีอายุยืน

คนหลายคนเห็นด้วยกับวิธีการแก้ปัญหาความอ้วนของแต่ละคนเป็นกรณีๆ ไป โดยให้พิจารณาปัจจัยด้านน้ำหนัก อายุและ ประวัติครอบครัวในส่วนที่เกี่ยวกับอาการอ้วน และสถานภาพด้านสุขภาพของคนๆ นั้น การที่มีตัวแปรที่มากมายเช่นนี้ ทำให้การลงความเห็นว่า คนคนนั้นสมควรจะลดความอ้วนหรือไม่ อย่างไร และเมื่อใด เป็นเรื่องที่ยาก

เจ สตีเวนส์ (J.Stevens) แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาในสหรัฐอเมริกา รายงานว่า ในการศึกษาชาย 12,000 คน และหญิง 262,000 คน เป็นเวลานาน 12 ปี เขาได้พบว่า คนที่มี BMI ตั้งแต่ 19-21-9 เป็นผู้ที่มีโอกาสการเสียชีวิตด้วยภัยอ้วนต่ำสุด BMI= body mass index ซึ่งคำนวณได้จากการเอาน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วย (ความสูงของร่างกายเป็นเมตร)2 เช่น คนคนหนึ่งสูง 1.65 เมตร และหนัก 50 กิโลกรัม เขาก็จะมี BMI = 50/(1.65)2 =18.4 เป็นต้น) สตีเวนส์ยังพบว่า สำหรับผู้หญิงอเมริกันที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจนั้น จะเกิดน้อยที่สุด ถ้าหญิงคนนั้นมี BMI น้อยกว่า 19 และอัตราการตายจะจะเพิ่มขึ้น 20% เมื่อ BMI เพิ่มจาก 19-24.9% ถ้า BMI เพิ่มจาก 27 เป็น 28.9 คนคนนั้น จะมีโอกาสตายด้วยโรคหัวใจ 60% และถ้า BMI สูงกว่า 29 คนคนนั้นตายด้วยโรคหัวใจแน่ๆ

เมื่อภัยอ้วนและโรคอ้วนมีจริงเช่นนี้ นักวิจัยทั่วโลกจึงได้ทุ่มเทความพยายามหายาให้คนไข้กินแล้วลดความอ้วนให้ได้ เช่น เจ ฟรีดแมน (J. Friedman) แห่งมหาวิทยาลัยร็อกกรเฟลเลอร์ในนิวยอร์ก รายงานการวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้รับการพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ทั่วโลกว่า หนูที่ได้รับการฉีดฮอร์โมนเลปติน (leptin) มีขนาดตัวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ใครๆ ในยุคนั้น จึงมีความคิดว่า ฮอร์โมนเลปตินคงจะสามารถทำให้คนลดน้ำหนักได้เช่นกัน (leptin มาจากคำว่า leptos ในภาษากรีก ซึ่งแปลว่า สะโอดสะอง) แต่เมื่อได้มีการพบว่าคนทุกคนมีเลปตินในร่างกาย คนยิ่งอ้วนก็ยิ่งมีมาก ข้อมูลนี้จึงขัดกับผลการทดลองที่ได้จากหนู

เอ็ม. แม็คคาร์นิช (M. McCarnish) แห่งบริษัท Amgen Inc. ในเมืองเทาสันต์โอ๊ก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานว่าในการใช้เลปตินทดลองกับคนอ้วน 73 คน และคนปกติ 54 คน เขาไม่พบหลักฐานที่แสดงว่าเลปตินมีประสิทธิภาพใดๆเพราะเหตุว่าฮอร์โมนเลปตินนั้น เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ต้องมีการฉีดเข้าร่างกาย ดังนั้นคนบางคนเวลาถูกฉีดจะมีรอยบวมตรงบริเวณที่ฉีด ทำให้ต้องบอกลาไม่มาฉีดอีกต่อไป อย่างไรก็ตามถึงแม้เลปตินจะหมดสภาพการเป็นยารักษาโรคอ้วนไปแล้วก็ตาม แต่นักวิจัย อีกหลายคนก็ยังต้องการดูว่า ฮอร์โมนนี้มีตัวยาอะไรที่ทำให้คนบางคนลดน้ำหนักได้ไม่เลว ถ้าเราสามารถค้นหาตัวยานั้นได้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นประโยชน์กับบางคนมาก

ในเมื่อยารักษาโรคอ้วนจริงๆ ยังไม่มี หนทางที่คนอ้วนจะช่วยตัวเองได้คือ ควบคุมพฤติกรรมการกินอย่ากินจุบจิบ และไม่กินมากจนเกินไป รวมทั้งกินอาหารที่เหมาะสมกับร่างกายและออกกำลังกายบ้าง โดยตั้งใจว่าน้ำหนักตัวไม่ควรขาดหรือเกินจากน้ำหนักตัวมาตรฐานไปมากกว่า 5% ก็ถือว่า พอดีและใช้ได้ ในวัยเด็กนั้นผอมก็ดี แต่พออายุมากขึ้น พยายามอย่าให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากตามอายุ ก็จะดีมากค่ะ

Source: ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน. โภชนา-โรคา: ชุดวิทยาการแห่งอารยะ. หน้า 173-177.

31 May 2561

By Mongkol N.

Views, 3181

 

Preset Colors