02 149 5555 ถึง 60

 

จัดการอย่างไร กับความวิตกกังวลที่เกินพอดี

จัดการอย่างไร กับความวิตกกังวลที่เกินพอดี

คนคาดว่าปีเสือ 2565 คงจะดุสมชื่อ เพราะเพียงช่วง 3 วันแรก แต่ละคนใจระทึกเฝ้าลุ้นตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนว่าจะสูงขึ้นมากน้อยแค่ไหน และคำพูดฮิตที่ใช้ปลอบใจกันก็คือ “เราต้องอยู่กับเจ้าวายร้ายตัวนี้ให้ได้”

แม้ในใจลึก ๆ ทุกคนจะมีความวิตกกังวลอยู่โดยธรรมชาติ ความวิตกของมนุษย์มีสารพัด ทั้งเรื่องการครองชีพ เรื่องสุขภาพ เรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน เรื่องปัญหาสัตว์เลี้ยง และอาจจะมีเรื่องเลยเถิดที่จินตนาการไปเอง เช่น กลัวว่าไฝที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดตรงต้นแขนอาจจะเป็นเนื้อร้าย กลัวลูกจะถูกลักพาตัวระหว่างเดินทางไปเรียนหนังสือ กลัวขโมยจะเข้าบ้านเพราะลืมล็อกประตู กลัวผู้ก่อการร้ายจะบุกโจมตีสนามฟุตบอล และยังมีเรื่องที่กลัวอีกร้อยแปด

มีเรื่องเล่าถึงความกังวลของลูกพี่ลูกน้อง มนุษย์ยุคหินสองคนที่อาศัยอยู่ในถ้ำเดียวกัน คนแรกวิตกไปทุกเรื่อง เช่น วิตกว่ากองไฟที่ก่อไว้จะลุกลามเข้าไปในถ้ำ ลูกชายที่ไปล่าสัตว์จะกลับมาปลอดภัยหรือเปล่า เสือที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่จะเข้ามาในถ้ำไหม กลัวแม้กระทั่งว่าเห็ดที่เก็บมาแถวใกล้ ๆ ถ้ำจะเป็นเห็ดมีพิษหรือเปล่า

ขณะที่อีกคนกลับคิดตรงกันข้าม คือ คิดว่ากองไฟคงจะดับมอดไปเอง ลูกชายที่ออกไปล่าสัตว์คงกลับมาอย่างปลอดภัยเหมือนทุก ๆ วัน เจ้าเสือตัวร้ายไม่เข้ามาในถ้ำแน่ ๆ เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนเห็ดที่กินอยู่ทุกวันไม่เห็นจะมีพิษเลย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความวิตกกังวลของคนแรกจะดูเพ้อเจ้อ และทรรศนะของคนหลังจะมีเหตุมีผลมากกว่า แต่ปรากฏว่าด้วยสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของมนุษย์ ผู้คนส่วนใหญ่คล้อยตามความคิดของคนแรก

“แดน กรูเป้” นักจิตวิทยาของ Center for Healthy Minds มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแมดิสัน สหรัฐอเมริกา กล่าวไว้ว่า “สมองของคนเราพยายามใช้ประสบการณ์จากอดีตมาจัดระเบียบความคิด เพื่อคาดการณ์อนาคต”

อย่างไรก็ดี โลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ความไม่แน่นอนทำให้สมองต้องใช้พลังงานมากเป็นพิเศษ เพื่อทำความเข้าใจกับการคาดการณ์อนาคต และส่วนใหญ่มนุษย์มีแนวโน้มคาดการณ์ในทางด้านลบมากกว่าด้านบวก ทำให้เพิ่มระดับความเครียดขึ้น เกิดความรู้สึก
ไม่สบาย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ กลายเป็นความกังวล

บางคนถึงกับเป็นโรค “ความวิตกกังวลผิดปกติ” หรือ Generalized Anxiety Disorder (GAD) ซึ่งในสหรัฐมีจำนวนประชากรที่เป็นโรคนี้สูงกว่า 10 ล้านคน

อันที่จริงความวิตกกังวลเป็นเรื่องดี เพราะทำให้เราได้ตระหนักว่าความไม่แน่นอนเป็นสัจธรรมที่หลีกไม่พ้น แต่กระนั้นเราต้องรู้จักแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง อะไรคือปัญหาที่เกิดจากการมโน เช่น สถานการณ์โควิด-19 ที่ยาวนานกว่า 2 ปี เตือนเราว่าทุกอย่างในโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ถ้าเราคิดแต่เพียงว่าสามารถจะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการล้างมือ การใส่หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างในสังคมก็คงจะเพียงพอแล้ว

แต่ถ้าเราเกิดมโนว่าสถานการณ์จะต้องเลวร้ายจนถึงขั้นล้างโลกมันก็จะทำให้เราเกิดภาวะเจ็บปวดทางจิตใจอย่างรุนแรง ในขณะที่วิธีการคลายความวิตกกังวลด้วยการเบี่ยงเบนความกลัวของตัวเอง เช่น การไปทำงานอดิเรก ดูหนัง ฟังเพลง ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือหลีกเลี่ยงการดูข่าวใน LINE นั้น เป็นเพียงการประวิงเวลาหรือยารักษาชั่วครั้ง ชั่วคราว

เพราะในที่สุดความวิตกกังวลก็ยังอยู่ในความคิดของพวกเราอยู่ดี

“โม บราวน์” นักบำบัดจิตวิทยาชาวสหรัฐ จึงได้กล่าวว่า “ความไม่แน่นอนได้รับการตีความหมายว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เป็นที่มาของความกลัวและความวิตกกังวล แต่หากเราสามารถเปลี่ยนมุมมองว่า ความไม่แน่นอนทำให้เราเกิดความตระหนักและทำวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการใช้ความไม่แน่นอนนั้นเป็นพลังเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีขึ้น รวมทั้งใช้ให้เกิดเป็นปัญญาเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต”

หากเราสามารถที่จะแก้ไขความวิตกกังวลที่เกินพอดี เราจะใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าอสรพิษโควิด-19 ได้ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับพวกเราทุกคน และหวังว่าจะดำเนินชีวิตได้อย่างรู้เท่าทันรับกับปีเสือที่ยอมถอดเขี้ยวเล็บแล้ว

20 January 2565

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

Posted By Thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 495

 

Preset Colors