02 149 5555 ถึง 60

 

รับมือกับ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burn out)”

รับมือกับ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burn out)”

คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี

การที่เราต้องตื่นเช้าออกไปทำงานในทุกๆ วัน ต้องเผชิญกับปัญหาการจราจรที่ติดขัด เผชิญกับการทำงานที่หนัก ปัญหาในการทำงานต่างๆ และยังต้องรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่มีหลากหลายประเภท ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อาจนำไปสู่ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” ได้

“ภาวะหมดไฟ (Burn out)” เป็นผลที่เกิดจากความเหนื่อยล้าจากความเครียดในการทำงาน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้

1. Emotional exhaustion คือ ความรู้สึกว่าต้องรับความกดดันทางอารมณ์มากเกินไป และรู้สึกหมดพลังที่จะทำงาน

2. Depersonalization คือ การมีทัศนคติด้านลบต่องาน ไม่ใส่ใจ เฉยเมย หรือเย็นชา และแยกตัวจากผู้อื่น

3. Diminished sense of personal accomplishment คือ ความรู้สึกว่าตนไม่มีความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงาน รู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้

หากภาวะหมดไฟนี้เกิดขึ้นกับใคร ก็จะทำให้ความรู้สึกอยู่ดีมีสุข (personal well-being) ของคนคนนั้นลดลง เกิดความผิดพลาดในการทำงาน และสุดท้ายคือ ผลเสียต่อองค์กร กล่าวคือ ทำให้อัตราการลาออกเพิ่มขึ้น และการเพิ่มผลผลิต (productivity) ขององค์กรลดลง

การดูแลภาวะหมดไฟ

แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับองค์กร และระดับบุคคล ดังนี้

1. ระดับองค์กร

- ควรจัดภาระงานอย่างเหมาะสม เพื่อให้บุคลากรมีเวลาในการจัดการเรื่องส่วนตัว และดูแลครอบครัว

- ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม

- มีช่องทางรับฟังผู้ปฏิบัติงาน

- เห็นคุณค่าของสิ่งที่บุคลากรทำ และให้เครดิต

2. ระดับบุคคล

- ตั้งสติ เตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ

- ทบทวนว่าตนเองเริ่มมีหมดไฟในการทำงานหรือไม่

- แบ่งเวลาในการพักผ่อน มีช่วงเวลา “zero office contact”

- ตระหนักถึงคุณค่าในตนเอง

- ทำงานเป็นทีม โดยฝึกการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการทำงาน

- มีคนที่ไว้ใจได้คอยให้คำปรึกษา และพึ่งพาทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ครอบครัว เพื่อน หรือผู้ร่วมงาน

จะเห็นได้ว่า “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่หากเข้าใจ และปฏิบัติตามคำแนะนำที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะทำให้สามารถกลับไปทำงานได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

6 August 2564

ที่มา ไทยรัฐ

Posted By Thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 3352

 

Preset Colors