02 149 5555 ถึง 60

 

โควิด-19วันนี้ อย่าประมาทแต่อย่าถึงขั้นประสาท

โควิด-19วันนี้ อย่าประมาทแต่อย่าถึงขั้นประสาท

เรื่องของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทุกคนต้องตื่นตัวในการป้องกันแต่อย่าถึงขั้นประสาท มาดูกันว่าต้องทำอย่างไร

นนี้สถานการณ์เกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด-19 มีภาพในความคิดของคนเราที่ออกมาน่ากลัวมากขึ้นว่าจะเกิดเหตุการณ์ super spread จากการที่ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นมาถึงหลักวันละสามสิบใน 2วัน ซึ่งติดเชื้อมาจากสถานบันเทิงส่วนหนึ่ง และติดเชื้อมาจากสนามมวยส่วนหนึ่ง ทำให้ทุกคนรู้สึกว่า “มันใกล้ตัวมากขึ้นทุกที” และเตรียมตัวช่วยตัวเองระดับหนึ่ง คือการรักษาความสะอาด ฆ่าเชื้อ ไม่ใช้มือจับอะไรในที่สาธารณะ

การระวังตัวก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราต้องช่วยตัวเอง เพราะเราหวังพึ่งรัฐบาลทั้งหมดไม่ได้ถ้าเราไม่ป้องกันตัวบ้าง การหลีกเลี่ยงเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่คนแออัดพลุกพล่านก็จำเป็น เพราะเราไม่รู้ว่า คนรอบๆ ตัวเคยเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงมาบ้างหรือไม่ พวกงานมหรสพอะไรเห็นทีจะต้องเลื่อนออกไปเพราะจัดตอนนี้ผู้จัดงานก็ขาดทุน ซึ่งได้แต่ภาวนาให้สถานการณ์มันคลี่คลายคือยอดผู้ติดเชื้อลด เพราะถ้าอยู่ถึงห้าหกเดือนท่องเที่ยวพังระดับล้านล้านบาท

รัฐบาลต้องวางแผนการสื่อสารที่ไม่ทำให้สถานการณ์มันดูน่ากลัวเกินจริง นี่สำคัญมาก เพราะในโลกอินเทอร์เนต การสื่อสารไปไว พูดจบนาทีเดียวบางคนทำได้เรียบร้อย มี “นักแคปอาชีพ” คอยแคปภาพเวลาคนของรัฐบาลโพสต์อะไรบ้าๆ บอๆ ที่ทำให้สถานการณ์มันดูเลวร้ายขึ้นหรือทำให้คนยิ่งไม่ไว้ใจรัฐบาล จนถึงตำหนิรัฐบาลมากขึ้น สำคัญจริงๆว่า จะมีอารมณ์ขันร้ายๆ หรือโมโหอะไรก็ตามก็อย่าโพสต์ไม่คิด เพราะนี่คือสถานการณ์ที่คนกลัว

สิ่งที่ต้องพยายามอธิบายคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ ว่า ถ้ามีคนติด รัฐบาลสามารถรู้แหล่งต้นตอที่คาดว่าคนๆ นั้นไปติดมา และตามตัวคนที่อยู่ในแหล่งนั้นออกมาตรวจคัดกรองได้หมด กักตัวได้ อีกทั้งรู้ว่า ผู้ที่ติดเชื้อได้ผ่านหรือไปที่ไหนมาบ้าง มีปฏิสัมพันธ์กับใครมาบ้าง อันนี้ผู้อยู่ในภาวะเสี่ยงเองก็ต้องให้ความร่วมมือในการไม่ปกปิดข้อมูล ไม่งั้นจะเหมือนป้ามหาภัยที่แทกูที่เกาหลี ที่มาสารภาพทีหลังว่าเคยไปอู่ฮั่นมาเมื่อปีก่อน จนเกิด super spread ไปแล้ว

การตามตัวคนที่น่าจะเสี่ยงมาได้ทำให้เรายังอยู่ในระดับสองได้ ไม่เข้าระดับสามที่การติดแบบปริศนาเลย ไม่รู้ว่าติดมาจากไหน และแพร่กระจายออกไปทั่วประเทศ ขณะนี้รายงานการติดเชื้อยังพบว่าที่ต่างจังหวัดมีน้อยกว่าในเมืองกรุง เช่นที่ออกข่าวมาก็คือมีคนไปติดมาจากอิหร่าน แล้วไปแสดงอาการที่นครศรีธรรมราช การสื่อสารอะไรต้องเป็นเอกภาพและไม่ใช่การผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ เหมือนเรื่องหน้ากากอนามัย

เราได้ยินแต่คำว่า “หน้ากากอนามัยเพียงพอๆๆ จะเพิ่มกำลังการผลิตๆๆ” แต่ขณะนี้ไปถามชาวบ้านร้านตลาด หรือขนาดไปเดินหาซื้อเองยังหาไม่ค่อยจะได้ จะให้เย็บหน้ากากผ้าใส่กันเองเพื่อเอามาซักซ้ำได้ หน้ากากผ้ามันก็ไม่มีชั้นป้องกันของเหลวรั่วซึม ง่ายๆ คือไอหรือจาม น้ำมูกน้ำลายมันก็เล็ดลอดฟุ้งออกมาได้ อย่างที่บอกคือ รัฐบาลทำแอพพลิเคชั่นในการแจ้งจุดกระจายหน้ากากเถอะ ว่าแจกหรือส่งขายที่ไหน และจำกัดปริมาณการซื้อ

ที่สำคัญคือดูแลบุคลากรทางการแพทย์ เพราะนี่คือกลุ่มด่านหน้าที่ต้องรับปัญหา รัฐบาลต้องสำรวจความเพียงพอต่อการรองรับการตรวจคัดกรอง การมีสถานที่กักกันการแพร่เชื้อที่เพียงพอหากมันระบาดมากกว่านี้ เพราะขณะนี้สถาบันบำราศนราดูรที่ดูแลผู้ติดเชื้อนี่ได้ข่าวว่ารับเคสใหม่แทบจะไม่ได้แล้ว และอุปกรณ์ป้องกันตัวของแพทย์ก็เพียงพอ ทั้งหน้ากากทั้งสารทำความสะอาด หน้ากากไม่พอไม่ใช่ตายโรคเดียว เพราะโรคอื่นที่ต้องผ่าตัดก็ผ่าตัดไม่ได้ด้วย

การสื่อสารที่ลดความตระหนกคือการอธิบายตัวเลขเปรียบเทียบก็ได้ว่า ขณะนี้ถึงยอดผู้ติดเชื้อเราจะเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในอัตราเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันในอาเซียน (ยกเว้นเมียนมาร์กับลาว ที่ยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อออกมา) และเผลอๆ ของเราสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ดีกว่า เป็นโรคที่ไม่ใช่รักษาไม่หาย เพราะอัตราการติดและรักษาหายก็เยอะ ยอดผู้เสียชีวิตในประเทศไทยก็เพิ่งมีแค่รายเดียว แต่ขอให้ใครที่คิดว่าเสี่ยงมาตรวจคัดกรอง

ตานี้ก็มีปัญหาที่หลายคนเขาอยากให้รัฐบาลแก้ขึ้นมาอีก คือ “อยากได้การตรวจคัดกรองที่ราคาถูกกว่านี้” เพราะบางคนถ้าสงสัยตัวเองมีอาการ และไม่รู้ว่าไปผ่านตัวคนที่เป็นพาหะมาหรือเปล่า ( เพราะเขาไม่ได้เปิดชื่อผู้ป่วยนี่ ยกเว้นกรณีพวกคนดังๆ ที่เปิดตัวเอง ) จะไปตรวจคัดกรองที่ก็ได้แต่อุทานแม่เจ้าโว้ย !! เนื่องจากถูกที่สุดก็สามพันบาทเข้าไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่ารัฐจะจัดสวัสดิการตรงนี้ให้ได้หรือเปล่าหรือต้องรอเข้าเฟสสามก่อน

เห็นหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม แถลงข่าวเมื่อเย็นวันจันทร์ให้ไว้ใจรัฐบาล ก็เห็นนายกฯ แก่และเหี่ยวหน้าเครียดไปเยอะ ก็เข้าใจสภาพอยู่ว่าตอนนี้คือประชาชนกลัว และลามไปถึงความไม่พอใจรัฐบาล ว่าจะสร้างความมั่นใจอะไรเป็นรูปธรรมล่ะ นอกจากบอกว่า “สู้ๆ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” ถ้ามีมาตรการอะไรออกมาก็ช่วยอธิบายความจำเป็นให้ชัด เช่นหากจะปิดสถานบริการ ปิดเมือง เพราะอะไร และยาวถึงเมื่อไร

และบางทีการสื่อสารอาจต้องใช้ผู้รู้จริง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคือหมอ คือใช้ “ฝ่ายประจำ” มากกว่า “ฝ่ายการเมือง”ในการอธิบายความ อาจให้ฝ่ายประจำมาเป็นหัวหน้าศูนย์ก็ได้ และให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการตัดสินใจ นึกถึงตอนนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร อดีตผู้ว่าฯ เชียงราย เป็นผู้รวมศูนย์การดูแลสั่งการทั้งหมด มีหัวคิดและมีไอเดียดีๆ ในการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือได้ แล้วสถานการณ์ช่วยเด็กจากถ้ำก็สำเร็จ

แค่ว่าปัญหาคือผู้มีอำนาจนี่อย่าแย่งซีนกันเอง แบบว่าขอให้มีส่วนได้ความดีความชอบบ้าง พอไม่ได้ก็ตีโพยตีพายโจมตีคนทำงาน เรื่องสาธารณสุข เรื่องการแพทย์มันเป็นความรู้เฉพาะ เอาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาเป็นผู้บัญชาการศูนย์ดีไหม ? แล้วให้อำนาจเต็มเขาในการตัดสินใจ หรือไม่ก็ให้เป็นรูปแบบคณะกรรมการที่เป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ออกข้อสรุปมาว่า เราควรดำเนินมาตรการอย่างไรต่อไปดี แล้วประกาศให้ชัดครั้งเดียวอย่ากลับไปกลับมาให้ทำตัวไม่ถูก

เราบอกว่า จีนเป็นมิตรประเทศ ขณะนี้สถานการณ์ในจีนควบคุมได้ค่อนข้างดีแล้ว ขนาดที่ทีมงานจากจีนจะไปช่วยอิตาลี ซึ่งติดเชื้อแบบพุ่งพรวดได้ ก็หาใครสักคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนในการเจรจาขอความช่วยเหลือมาได้หรือไม่ ? เพื่อป้องกันไทยเข้าสู่เฟสสาม จีนก็คงไม่น่าจะรังเกียจรังงอนอะไรมากเพราะเขาก็เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย แถมนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยปีละเท่าไร ถ้าระวังในไทยได้คือระวังคนของเขาด้วย

คือนาทีนี้จะด่ารัฐบาลโน่นนี่ แล้วก็กลับมากลัวกันเองมันไม่มีประโยชน์ คนไทยต้องวางตัวอย่างไม่ประมาท แต่ไม่ถึงกับประสาทเสียไปหมด แต่จะไม่ประมาทได้ก็ย้ำไม่รู้กี่สิบรอบว่า วัสดุในการป้องกันตัวของคนไทยรัฐบาลก็ต้องจัดให้เพียงพอทั้งหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาด อย่าให้ขาดแคลนที่โรงพยาบาลและให้ประชาชนจับจ่ายซื้อได้ และการตรวจคัดกรองก็ต้องราคาถูกลง เหล่านี้เป็นเรื่องระดับนโยบายที่รัฐบาลต้องช่วยประชาชน

ก็ขอให้กำลังใจทั้งประเทศให้ผ่านวิกฤตนี้โดยเร็ว ใครโกงหน้ากากอนามัยต้องสะสางด้วยโทษแรง....

20 March 2563

ที่มา เดลินิวส์

Posted By Nitayaporn/thongpet/kanchana

Views, 1012

 

Preset Colors