02 149 5555 ถึง 60

 

โทษระบบการศึกษา? โรงเรียนพิเศษ “แย่งเวลาชีวิต” เด็กร้องขอเวลา ส่งสัญญาณเตือนสังคม!!

โทษระบบการศึกษา? โรงเรียนพิเศษ “แย่งเวลาชีวิต” เด็กร้องขอเวลา ส่งสัญญาณเตือนสังคม!!

การศึกษาขโมยเวลา!! ฟังจากปากหมอเดว ในฐานะคุณพ่อลูก 2 กับการส่งสัญญาณเตือนสังคม อย่าขโมยเวลา และธรรมชาติของเด็ก สะท้อนปัญหาตัวอย่างเคสเด็กหญิงชั้น ป.4 การบ้านเยอะ ติวหนัก เพื่อสอบเข้าโรงเรียนดีๆ จนต้องออกปากร้องขอเวลาจากแม่ พร้อมแนะวิธีเยียวยา

เรียนหนัก-ติวหนัก-การบ้านเยอะ “แย่งเวลาชีวิต”

“นอกจากเรียนหนัก ติวหนัก การบ้านเยอะ กดดันหนัก ทุกวัน ทุกเทอม ทุกปี หมอมองแววตาลูกแล้ว สงสารจับใจ จับมือเขา ให้พลังใจ ถามลูกว่า ลูกจ๋า หากขอได้อยากได้อะไรครับ ลูกบอกว่า อยากได้เวลาจากแม่ อยากเล่นกับแม่”

หมอเดว-รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ถึงเรื่องที่ได้ออกมาโพสต์ผ่านเพจ “บันทึกหมอเดว” ที่ตอนนี้ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างมาก ให้ช่วยสะท้อนปัญหาการศึกษา จนเด็กต้องหันมาร้องขอเวลาเอง

“เคสนี้ไม่ได้เป็นเคสเดียว เราเจอเคสแบบนี้เยอะมาก แต่ที่เคสนี้ที่สะท้อนใจหมอมากๆ คือ เด็กร้องขอเวลา ไม่ต้องโทษพ่อแม่ แต่ต้องโทษความเป็นจริงระบบการศึกษาแพ้คัดออก ที่เกิดขึ้นในเด็กเล็ก เด็กผู้หญิงที่น่ารักมาก กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ครูแนะนำให้มาพบเพื่อให้ยาสมาธิสั้น ขาดความรับผิดชอบ แต่เมื่อหมอฟังเรื่องราวจากลูก สงสารลูกจับใจมาก

แม่รักลูกมากๆ แต่ด้วยความเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว จึงต้องทำงานหนักมาก กลับบ้านดึกลูกก็หลับ บ้านนี้มีตายาย ที่คอยช่วยรับส่งหลาน แต่เช้า ลูกตื่นตีห้า ล้อหมุน 6 โมงเช้า กินข้าวเช้าบนรถ ไปถึงที่โรงเรียน 7 โมงเช้า เด็กต้องรีบวิ่งขึ้นไปรับการบ้านจากครู ก่อนเข้าเรียน ย้ำว่าการบ้านเช้า พอทำการบ้านเช้าอย่างเร่งรีบเสร็จ เข้าแถว เข้าห้องเรียน เรียนหนัก เพราะเด็กเรียนของชั้นที่โตกว่าตอนนี้เธอเรียน ป.4 แต่หลักสูตรข้ามชั้น ป.5

เลิกเรียน บ่ายสามครึ่ง ต่อด้วยกวดวิชา เลิกเกือบ 5 โมง กินข้าวเย็นบนรถ มาถึงที่บ้านรีบปั่นงานอีกกองพะเนิน แต่คุณตาเข้มมาก คาดหวังว่าลูกต้องสอบติดโรงเรียนดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ จึงให้หลานท่องอาขยาน ศัพท์ภาษาอังกฤษ ทุกวัน สะสมไปเรื่อยๆ ทุกๆ วัน กว่าจะได้นอนประมาณสาม-สี่ทุ่ม เพื่อตื่นตีห้าให้ทัน เป็นอย่างนี้ จันทร์ถึงศุกร์”

ไม่เพียงเท่านี้ หมอเดวเล่าต่ออีกว่า เด็กคนนี้ วาดรูปสวยและเก่งมาก ชอบงานศิลปะ และดนตรี เกลียดวิชาคณิต เสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีเวลาหยุดพักเท่าที่ควร ต้องออกไปเรียนกวดวิชาอยู่เป็นประจำ

“วันเสาร์ ก็ไปกวดวิชา 2-3 ที่ กลับมาเย็นๆ ก็รีบทำการบ้านที่ครูสั่ง ที่เยอะมาก วันอาทิตย์ก็กวดวิชาสั้นๆ และเหลือเวลาทำการบ้าน บวกกับอย่าลืม คุณตาขอแทรกด้วยการท่องจำตลอด เวลาพักมีแค่นิดเดียว ส่วนแม่มีเวลาเสาร์อาทิตย์ แต่เสาร์อาทิตย์ลูกติดติววิชาเต็มไปหมด ลูกแทบไม่ได้อยู่กับแม่ทั้งๆ ที่แม่มีเวลา ใครขโมยเวลา ใครมาโทษว่าขาดความรับผิดชอบ ใครเป็นคนกดดันเด็ก ครูก็ดุ การบ้านก็เยอะแถมมีทุกวัน

ตอนนี้เกรดเขาแย่ลง เขารู้สึกล้ามากๆ เหนื่อย ป.1-3 เรียนได้ 3.9-4.00 มาตลอด ตอนอนุบาลแม่ให้ติวเข้มมากเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดีๆ เด็กเล่าว่าตอนก่อนเข้า ป.1 เรียนพิเศษ เสาร์อาทิตย์ วันละ 7-8 ที่ ย้ำว่าวันละ 7-8 ที่ เด็กปฐมวัยอนิจจาทัศนคติผู้ใหญ่ที่เศร้าใจ รวมทั้งครูก็ป่วยทางทัศนคติ ไม่พอ คุณตาเกิดอะไรขึ้นที่คลั่งไคล้มาลงความรักแบบลุ่มหลงและคาดหวังสูงที่หลานเช่นนี้”

การพบเจอกับเรื่องราวของเด็กแบบนี้อยู่บ่อยครั้งทำให้หมอเดว อยากสะท้อนพร้อมตั้งถามกับสังคมว่า ทำไมถึงต้องเอาความรักมาเปลี่ยนเป็นความคาดหวัง กดดันเด็ก ควรที่จะให้เด็กมีชีวิตตามที่เด็กอยากจะเป็นจะดีกว่า

“นาทีนี้ผมถามผู้ใหญ่ครับ ท่านทำอะไรกันครับเนี่ย ท่านจะเอาความรัก มาแปรเปลี่ยนเป็นความคาดหวัง กดดันทำไมครับ ขอตะโกนบอกผู้ใหญ่ทุกคนว่า อย่าขโมยเวลา อย่าขโมยธรรมชาติของเด็ก เพียงเพราะอ้างว่ารักและหวังดี เลิกอ้างได้หรือยังครับ หมอฟังไปแทบอยากร้องไห้ กอดเขาไว้แล้วบอกว่าหมอจะทำอย่างที่ลูกบอกจะส่งสัญญาณนี้ไปให้ผู้ใหญ่ทุกคน

โชคดีที่แม่ได้หัวใจลูกกลับคืน ไม่เป็นหุ่นยนต์แล้ว แม่เข้าใจให้ความร่วมมือ แต่ยากมากสำหรับครู และระบบการศึกษาไทย เกิดอะไรขึ้นที่เข้าใจยากจัง”

เยียวยาด้วยการเปลี่ยนความคิดของพ่อแม่

“วิธีเยียวยาที่จำเป็นจะต้องทำ เราอาจจะต้องเปลี่ยนกระแสนิยมของพ่อแม่ โดยเฉพาะชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นประชากรโดยส่วนใหญ่ ต้องให้เขาเข้าใจว่าประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้มีแค่บางอาชีพเท่านั้นที่มีความหมาย ทุกอาชีพมีความหมาย”

คำแนะนำจากหมอเดวที่อยากสะท้อนให้ดังไปถึงพ่อแม่ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากให้ทุกฝ่ายเปลี่ยนแปลงค่านิยม หันมาเยียวยาใส่ใจลูกหลานของตัวเองให้มากขึ้น

“ต้องไม่เลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ ต้องส่งสัญญาณไปดังๆ ทั้งประเทศว่าระบบแพ้คัดออกมีเฉพาะในกลุ่มบางกลุ่ม มีเฉพาะในเด็กโต อย่ามามีในช่วงชั้นอนุบาลประถม อย่ามาใช้ระบบนี้ เพราะเท่ากับว่ารังแกเด็ก เป็นระบบทารุณกรรมเด็ก คือถ้าเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี แล้วมาใช้ระบบนี้ไม่ได้ เขาเพิ่งปรับเข้ากับสังคม โรงเรียน เพิ่งเข้าสู่กระบวนการเพื่อน กำลังจะหาจุดถนัดของตัวเอง แล้วจะเร่งรัดกันไปหาสวรรค์วิมานอะไร

ส่วนอีกกระแสหนึ่งที่ต้องเปลี่ยน ฝากสู่สมาคมอุตสาหกรรมธุรกิจทั้งหมดว่ารับคนเข้าทำงานไม่ต้องดูใบปริญญาบัตรให้ไปดูที่ความสามารถ ภาคราชการก็เช่นกัน สอบ ก.พ. ปฏิรูปสักทีเถอะ เวลาคุณจะบอกว่าคุณสมบัติในการรับเข้าทำงาน เกรดต้องเท่านั้นเท่านี้ เลิกสักทีได้ไหม เอาความสามารถพื้นฐานเลยได้ไหม แต่ถ้าคุณไม่มีความสามารถพื้นฐาน แบบนี้ก็ไม่มีงานทำ จากผลวิจัยที่เคยทำมาของหมอ กลุ่มที่มีดีที่สุดคือกลุ่มหูหนวกตาบอด มีน้ำใจแบ่งปัน มากกว่าเด็กที่เรียนเก่ง 4 เท่า”

หมอเดวยังได้ฝากถึงกระทรวงที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ว่าให้ช่วยกระตุกต่อมจิตสำนึก และดึงจิตวิญญาณความเป็นครูกลับมา ช่วยดูแลลูกหลานด้วยความรักและหัวใจ

“ควรให้ความสำคัญมากกว่านี้ คุณหลับหูหลับตาอยู่หรือยังไง คุณไม่ได้มาดูที่หน้างาน คนฟังอยู่ที่ตนสังกัด ข้อมูลที่ไหลเข้าไปส่วนกลางที่ทำให้เกิดยุทธศาสตร์และนโยบายทั้งหลาย สภาพความเป็นจริง เด็กกำลังรับกรรมขนาดไหน เขาไม่รู้หรอก แล้วเขาก็ยังนิยมชมชอบ เพราะคิดอย่างอื่นไม่เป็น ไม่เห็นภาพความจริง โรงเรียนต่างๆ เหล่านี้ ล้วนดังมีชื่อเสียง คุณครูครับ ช่วยกระตุกต่อมจิตสำนึกและดึงจิตวิญญาณความเป็นครูกลับมาทีเถอะ ดูแลลูกหลานด้วยความรัก และหัวใจ

ระบบการศึกษาของเรามันเป็นระบบอุตสาหกรรมการศึกษา คือการเอาลูกเข้าไปเป็นเหมือนปลากระป๋อง แล้วถ้ากระป๋องไหนบุบก็ทิ้งไป แล้วก็ผลิตออกมาให้เป็นสินค้าแบบเดียวกันที่คุมคุณภาพ เราเป็นมนุษย์นะไม่ใช่ปลากระป๋อง นี่คืออุตสาหกรรมการศึกษาที่คิดหลูบอื่นไม่เป็น คิดได้อยู่หลูบเดียว แล้วก็เกิดการเสียศูนย์ พอระบบเสียศูนย์ก็ลามมาที่ตัวพ่อแม่ด้วย

อย่างหมอก็มีลูก คนอื่นๆ ก็มีลูก อยากจะบอกถึงพ่อแม่ทั้งประเทศเลยว่า วันนี้ระบบการศึกษาของเรากู้ชีวิตยากมาก เพราะเราจะเห็นทุกคนต่างโทษกันไปโทษกันมา โรงเรียนก็โทษพ่อแม่ว่าทำไมไม่ยอมมาดูแลลูก แต่ระบบแพ้คัดออกก็ไปกดดันโรงเรียน ซึ่งเริ่มเห็นภาพว่าเป็นอย่างกับงูกินหางเลยตอนนี้

ท้ายนี้หมอเดวยังได้ทิ้งท้ายถึงระบบการศึกษาไทย ซึ่งยอมรับว่าเกิดความล้มเหลวสะสมมานานมาก นี่จึงเป็นเหตุทำให้อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กก็มีเพิ่มสูงเช่นกัน

“ระบบการศึกษาเราล้มเหลวมานานแล้ว ยังไม่ยอมรับอีกว่านั่นคือระบบที่มีปัญหาจริงๆ

คุณไปใช้ระบบแพ้คัดออกโดยลืมซึ่งวิชาชีวิต ลืมเรื่องจิตสำนึกอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันขโมยธรรมชาติ ขโมยเวลาไป ลืมหัวใจความเป็นมนุษย์ นี่จึงทำให้เห็นอัตราฆ่าตัวตายของเด็กสูงมาก เราจะไม่วนหลูบนั้นใช่ไหม เราไม่ได้ต้องการอัตราฆ่าตัวตายของเราเพิ่มขึ้นใช่ไหม จึงจำเป็นจะต้องมาช่วยกัน

ภารกิจที่หมอรับปากกับเด็กมา คือ หมอจะพูดเสียงนี้ให้ดัง เพื่อให้ผู้ใหญ่ข้างบนกลับมาตระหนักรู้ว่าอย่าขโมยเวลา และอย่าขโมยความเป็นธรรมชาติของลูกไป วันนี้ไม่ได้เป็นหน้าที่ของการโบ้ยความรับผิดชอบว่าใครไม่ดี อยู่ที่หน้าที่ไหนกลับมากระตุกต่อมคิดของตนเองครับ เพราะผลทั้งหมดนั้นไปปรากฏที่เด็กแล้ว เด็กกำลังรับกรรมอยู่”

26 August 2562

ที่มา ผู้จัดการ ออนไลน์

Posted By Nitayaporn/Bungon/Thongpet/Kanchana

Views, 913

 

Preset Colors