02 149 5555 ถึง 60

 

วัยทำงาน 15 ล้านคนเสี่ยงอ้วนลงพุง-ซึมเศร้า-หมดไฟ แนะองค์กรสร้างแรงจูงใจเปลี่ยนพฤติกรรม

วัยทำงาน 15 ล้านคนเสี่ยงอ้วนลงพุง-ซึมเศร้า-หมดไฟ แนะองค์กรสร้างแรงจูงใจเปลี่ยนพฤติกรรม

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ที่โรงแรมรอยัลซิตี้ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับ กรมสุขภาพจิต คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่บุคลากรศูนย์อนามัยที่ 1-12 สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง ภาคีเครือข่ายส่งเสริมสุขภาพส่วนภูมิภาค บุคลากรโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือหลักสูตรผู้ปฏิบัติงานในคลินิกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพวัยทำงาน โดยมี นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย นพ.สมัย ศิริทองถาวร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ศ.ปานศิริ พันธุ์สุวรรณ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ มศว และ ผศ.สร้อยสุดา เกสรทอง รองคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มธ. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อให้คนวัยทำงานมีพฤติกรรมสุขภาพดีและเพื่อสร้างมาตรฐานการดำเนินงานคลินิกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประเทศ

นพ.อรรถพลกล่าวว่า ปัจจุบันมีวัยทำงานราว 15 ล้านคน อยู่ในระบบประกันสังคม และส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทำให้หลายคนเกิดภาวะความเครียดสะสม กระทบต่อสุขภาพร่างกายและทำให้เกิดโรคอ้วน เพราะขาดการออกกำลังกายและการกินอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งระบบสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในผู้หญิง และโรคจากการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง หลอดเลือดสมองตีบและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าอ้วนลงพุงและโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรังพบคนวัยทำงานมีแนวโน้มเป็นโรคดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ส่วนโรคเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า และวัยทำงานเป็นวัยที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากที่สุด โดยทั้งหมดทำให้เกิดภาระและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจำนวนมาก

“ที่ผ่านมากรมอนามัยได้เปิดคลินิกปรับเปลี่ยนสุขภาพในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ศูนย์อนามัยทั้ง 12 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้บริการผู้ที่มีภาวะเสี่ยง กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 5 โรค และประชาชนทั่วไปมากว่า 10 ปี ต่อมาเห็นควรให้ปรับปรุงหลักสูตรให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในคลินิกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพื่อนำองค์ความรู้ไปถ่ายทอดแก่ผู้เข้ารับบริการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น กรมอนามัยจึงร่วมกับกรมสุขภาพจิต มธ. และ มศว จัดทำหลักสูตรและเนื้อหาวิชาด้านอารมณ์ที่เกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมสุขภาพ รวมถึงการจัดอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพขึ้น ซึ่งภายหลังการบันทึกความร่วมมือครั้ง กรมอนามัยมีเป้าหมายจะขยายคลินิกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพไปยังสถานประกอบการในรูปแบบสวัสดิการพนักงาน โดยจะประสานกับกระทรวงแรงงานต่อไป” นพ.อรรถพลกล่าว

นพ.สมัยกล่าวว่า ผลกระทบจากพฤติกรรมสุขภาพของวัยทำงานเป็นปัญหาที่ไม่ควรละเลย เพราะเป็นกลุ่มวัยสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้พบคนวัยทำงานทั่วโลก อายุตั้งแต่ 20 กว่าปีขึ้นไป นอกจากเสี่ยงป่วยเป็นโรคแล้ว ยังเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน ทำให้จิตใจมีสภาพหดหู่ เกิดภาวะวิตกกังวล และนำไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้าได้ ดังนั้น บริษัท องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ควรส่งเสริมให้พนักงานหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและสร้างแรงจูงใจ ด้วยการส่งเสริมการออกกำลังกาย การบริหารจัดการอารมณ์ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควบคู่กับการลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคได้ เพราะหากมีสุขภาพกายที่ดีก็จะส่งผลกระทบให้มีสุขภาพใจที่ดีเช่นกัน ส่วนโรคซึมเศร้ามีแนวโน้มจะนำไปสู่ความเสี่ยงฆ่าตัวตายหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย

ด้าน นพ.อุดม อัศวุตมางกุร ผู้อำนวยการกองกิจการทางกายภาพ กรมอนามัย กล่าวว่า สำหรับหลักการในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของคลินิก ยังคงแนะนำให้ปฏิบัติตามหลัก 3 อ. 2 ส. 1 ฟ. คือ อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ และดูแลทำความสะอาดฟัน เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตนเอง โดยพบว่าผู้ที่เข้ารับบริการและนำหลักการดังกล่าวไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มโรคเรื้อรัง นอกจากนี้ ทางคลินิกจะดำเนินงานเชิงรุกในกลุ่มประชาชนทั่วไปให้มากขึ้น

9 July 2562

ที่มา มติชนรายวัน

Posted By ์์Nitayaporn/Bungon/Thongpet/Kanchana

Views, 935

 

Preset Colors