02 149 5555 ถึง 60

 

โหมงานหนัก-หอบกลับไปทำบ้าน เสี่ยงภาวะหมดไฟไม่รู้ตัว แนะ 6 วิธีป้องกัน

โหมงานหนัก-หอบกลับไปทำบ้าน เสี่ยงภาวะหมดไฟไม่รู้ตัว แนะ 6 วิธีป้องกัน

จิตแพทย์ เผย 6 สัญญาณภาวะหมดไฟ ย้ำเลี่ยง 4 พฤติกรรมเสี่ยง เอางาน เอาปัญหากลับไปทำบ้าน ทำงานหักโหม ใช้เวลาว่างท่องโซเชียล แนะ 6 วิธีป้องกันปัญหา

วันนี้ (4 ก.ค.) นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ กล่าวว่า จากที่ประชุมองค์การอนามัยโลก ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2562 ได้มีมติให้ภาวะเมื่อยล้าหมดไฟ (Burnout) เป็นสภาพที่ต้องได้รับการรักษาในทางการแพทย์เป็นครั้งแรก โดยจะเริ่มประกาศใช้อย่างเป็นทางการทั่วโลกในวันที่ 1 ม.ค. 2565 นับเป็นประเด็นปัญหาทางสุขภาพใจที่มักเกิดกับคนวัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด และมีความสำคัญต่อการสร้างเศรษฐกิจครอบครัวและประเทศชาติ ทั้งนี้ ภาวะเมื่อยล้าหมดไฟมักจะเกิดกับบุคคลที่สะสมความเครียดจากเรื่องต่างๆ ไว้มากเกินไป และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม สามารถส่งผลกระทบทั้งร่างกาย คือ นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย อาจปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ประสิทธิภาพการทำงานถดถอยลง ส่วนด้านจิตใจ บางคนอาจมีอารมณ์แปรปรวน รู้สึกสิ้นหวัง หงุดหงิด อาจทะเลาะเบาะแว้งกับคนรอบข้างได้ง่าย บางคนอาจหาทางออกในทางที่ผิด เช่นสูบบุหรี่จัดขึ้น ดื่มหนักขึ้น หรือเที่ยวเตร่ ไปทำงานสาย เป็นต้น ผลการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าคนทำงานประมาณ 1 ใน 4 มีความเครียด โดยร้อยละ 60 มีสาเหตุมาจากการทำงาน

พญ.ภรทิตา เลิศอมรวณิช จิตแพทย์ รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ กล่าวว่า การป้องปัญหาเมื่อยล้าหมดไฟ คือ 1.ยึดหลักสมดุลชีวิต แบ่งเวลาแต่ละวันเป็น 3 ส่วน คือทำงาน 8 ชั่วโมง นอนหลับพักผ่อนเพื่อซ่อมแซมร่างกายอย่างเพียง 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมง ใช้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจได้ทั้งส่วนตัว ครอบครัวหรือเพื่อนฝูง 2.จัดลำดับงานสำคัญหรือเร่งด่วน 3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข ช่วยสลายความเครียดได้และนอนหลับดีขึ้น 4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ที่มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม พืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เป็นต้น 5. พูดคุยสร้างอารมณ์ขันในหมู่เพื่อนร่วมงาน และ 6.เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงาน ขอให้ปรึกษาเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน อย่าอาย เนื่องจากการปรึกษาจะช่วยให้เราคลายข้อคับข้องใจและหาทางออกได้เหมาะสมขึ้น

พญ.ภรทิตา กล่าวว่า พฤติกรรมที่ควรเลี่ยง ลด ละ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดปัญหาหมดไฟทำงานง่ายขึ้น ที่สำคัญและใกล้ตัวมี 4 พฤติกรรม คือ 1. อย่าทำงานอย่างหักโหม เนื่องจากจะมีผลให้ร่างกายถูกใช้งานมาก เสื่อมโทรมเร็ว ภูมิต้านทานโรคจะลดลง 2.อย่าหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้าน 3. การใช้เวลาว่างท่องโลกโซเซียลต่างๆ และ4. อย่านำปัญหาในที่ทำงานกลับไปบ้านหรือนำปัญหาจากบ้านไปที่ทำงาน เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้ จะทำให้สะสมความเครียด รวมทั้งเบียดเบียนเวลาในการพักผ่อนให้น้อยลงไปด้วย สำหรับสัญญาณของอาการจะหมดไฟทำงาน คือ 1.รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขน้อยลง 2. อ่อนเพลีย เหนื่อยตลอดเวลา ไม่กระตือรือร้น เบื่อเซ็งไม่อยากตื่นไปทำงาน 3. ไม่มีสมาธิในการทำงาน 4. เริ่มมีทัศนคติไม่ดีต่องานที่ทำอยู่ มองโลกในแง่ลบ รู้สึกตัวเองด้อยความสามารถ 5. มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย 6. หาตัวช่วยเพื่อให้มีแรงทำงาน เช่นดื่มกาแฟ สูบบุหรี่จัดขึ้น เป็นต้น

5 July 2562

ที่มา ผู้จัดการ ออนไลน์

Posted By Nitayaporn/Bungon/Thongpet/Kanchana

Views, 1099

 

Preset Colors