02 149 5555 ถึง 60

 

จิตแพทย์ แนะ 6 วิธีเติมพลังคนวัยทำงาน ทั้งพลังใจ พลังกาย พลังสติ พลังความคิด พลังปรับตัว

จิตแพทย์ แนะ 6 วิธีเติมพลังคนวัยทำงาน ทั้งพลังใจ พลังกาย พลังสติ พลังความคิด พลังปรับตัว

และพลังชีวิต ห่วงคนทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสี่ยงเกิดความเครียดได้ง่าย หากปล่อยสะสมอาจป่วยหลายโรค สังเกตสัญญาณเตือน 3 ด้าน

วันนี้ (1 พ.ค.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า วัยทำงานเต็มไปด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบ ปัญหา อุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาให้เราต้องเผชิญ อาจทำให้เราหมดพลัง เกิดความเครียด และท้อแท้ตามมาได้ ดังนั้น หากเรามีการเติมพลังที่ดี จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้เราฟื้นคืนกลับมามีพลังในการทำงาน อีกทั้งทำให้เราสามารถฝ่าฟันต่อปัญหาอุปสรรค ตลอดจนสามารถหาวิธีแก้ไข และมีทางออกที่ดีได้ กรมฯ ขอแนะนำเคล็ดลับ 6 ประการ เติมพลังคนวัยทำงาน ดังนี้

1. เติมพลังใจ โดยการฝึกมองโลกในแง่ดี เมื่อเรามีทัศนคติที่ดี ทุกอย่างก็จะดีตามไปด้วย สร้างกำลังใจให้ตัวเองและผู้อื่น จะทำให้เรามีความสุขและสนุกกับการทำงาน

2. เติมพลังกาย โดยการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งการที่เรามีสุขภาพกายดี จะส่งผลให้สมองทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีการเรียนรู้และมีความจำที่ดี

3. เติมพลังสติ การมีสติต่อทุกเรื่องราว จะทำให้เรามีการตัดสินใจที่ดี รู้จักที่จะทำหรือพูดในเวลาที่เหมาะสม สามารถลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีสมาธิ ตลอดจนหาวิธีผ่อนคลายความเครียด และ มีการจัดการกับความเครียดได้

4. เติมพลังความคิด มีหลักคิดในการดำเนินชีวิตและการทำงาน โดยใช้แนวคิด “คิดเป็น คิดดี คิดให้” มีความคิดยืดหยุ่น สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เรียนรู้และเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น รู้จักแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่นตามความสามารถ รวมทั้งหาโอกาสทำประโยชน์ต่อสังคม

5. เติมพลังในการปรับตัว รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ สามารถปรับตัวได้กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม

6. เติมพลังชีวิต คือ การที่เราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ซึ่งความชอบของคนเรานั้นแตกต่างกัน การได้ทำในสิ่งที่ชอบหรือกิจกรรมที่ชอบ จึงเปรียบเสมือนการเติมเต็มกำไรให้กับชีวิต เช่น การทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัว การไปท่องเที่ยว อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ ฯลฯ จะทำให้เราสามารถกลับมาทำงานได้อย่างสดชื่น และเป็นการสร้างสมดุลให้กับชีวิตอีกด้วย

นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผอ.รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ กล่าวว่า วัยทำงานเป็นกลุ่มที่เสี่ยงเกิดความเครียดได้สูงกว่าวัยอื่น เนื่องจากหน้าที่ความรับผิดชอบครอบครัว การงาน และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่น่าห่วง คือ ผู้ที่ใช้เวลาทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งมีมากถึง 7 ล้านกว่าคน เป็นกลุ่มที่เสี่ยงเกิดความเครียดได้ง่าย อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพการทำงานและสุขภาพ หากไม่รู้วิธีจัดการความเครียดที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ความเครียดเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าทั้งภายนอกภายใน ในแง่ดี คือ ทำให้มีร่างกายตื่นตัว ตอบสนองต่อสิ่งคุกคามหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตประจำวัน

"ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่มีชื่อว่าคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนแห่งความเครียดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายตื่นตัว กระฉับกระเฉง และแก้ไขปัญหาต่างๆ ไปได้ แต่หากความเครียดนั้นเป็นอยู่ระยะยาวนานสะสมจะกลายเป็นภัยเงียบ มีโอกาสที่โรคอื่นๆ ทางกายเกิดตามมาที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น เนื่องจากฮอร์โมนตัวนี้จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงตลอดเวลา ทำให้ระบบการทำงานและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่ควรมองข้ามความเครียด และขอให้หมั่นสังเกตอาการเครียดของตนเองและผู้ร่วมงาน เพื่อสามารถจัดการได้อย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เกิดการสะสมในจิตใจ" นพ.กิตต์กวี กล่าว

นพ.กิตต์กวี กล่าวว่า สัญญาณเตือน 3 ด้านที่บ่งบอกว่ากำลังมีความเครียด มีดังนี้ 1.ด้านร่างกาย มักเจ็บป่วยบ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่มีเรี่ยวแรง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ท้องอืด ปวดหลัง ฯลฯ 2.ด้านจิตใจ จะเคร่งเครียด ขาดสมาธิ หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน เหม่อลอย เบื่อหน่าย เศร้าหมอง เป็นต้น และ 3.ด้านพฤติกรรม จะจู้จี้ขี้บ่น เก็บตัว สูบบุหรี่จัด ดื่มสุรามากขึ้น อาจใช้ยากระตุ้น เช่น ยานอนหลับหรือสารเสพติดต่างๆ เป็นต้น การขจัดความเครียดรายวันให้หมดไป คือ 1. ให้ปรับความคิด โดยการคิดบวกต่อตัวเองและต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในแต่ละวันย่อมมีเรื่องให้แก้ไขและเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างมีสติและอยู่กับปัจจุบัน 2. ให้ร่วมกันคิดหาทางออก ทำได้ทั้งระดับครอบครัว คือรับฟังทุกข์สุขของกันและกัน ร่วมกันแก้ปัญหาช่วยเหลือกันทุกโอกาสที่ทำได้ ส่วนระดับที่ทำงาน ให้ผู้ร่วมงานหันหน้าปรึกษาหารือกัน ช่วยเหลือกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน อย่างน้อยการได้ระบายได้เล่าให้ฟังถึงปัญหาอุปสรรคต่างๆ ความเครียดต่างๆ ก็จะบรรเทาลง สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่งแล้ว

3. การฝึกลดความตึงเครียดจิตใจ โดยการพักผ่อน การออกกำลังกาย ฟังเพลง ทำงานศิลปะ ทำกิจกรรมในสิ่งที่ตนเอนเองชอบจะทำให้เราได้ผ่อนคลาย ใจเย็น รวมถึงการฝึกการหายใจคลายเครียดด้วยกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่บริเวณหน้าท้อง โดยสูดหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ กลั้นไว้สักครู่แล้วจึงผ่อนหายใจออก หน้าท้องจะแฟบลง ทำซ้ำๆใช้เวลาเพียง 5-10 นาที การหายใจแบบนี้ จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ทำให้สมองแจ่มใส ไม่ง่วงเหงาหาวนอน ร่างกายกระปรี้กระเปร่าตลอดวัน วิธีการนี้แนะนำให้ฝึกใช้ซ้ำๆเป็นประจำทุกวัน ต่อไปก็จะสามารถทำได้โดยอัตโนมัติเมื่อเจอเหตุการณ์เครียด จะให้ผลดีมาก ทำให้เราใจเย็นลง สุขุมขึ้น อย่างไรก็ตามสามารปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมได้โดยโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

2 May 2562

ที่มา ผู้จัดการ ออนไลน์

Posted By Nitayaporn/Bungon/Thongpet/Kanchana

Views, 1749

 

Preset Colors