02 149 5555 ถึง 60

 

"จิตแพทย์"แนะวิธีฟื้นฟูจิตใจ 13 หมูป่า

"จิตแพทย์"แนะวิธีฟื้นฟูจิตใจ 13 หมูป่า

จิตแพทย์แนะ วิธีฟื้นฟูจิตใจ "13หมูป่า" ชี้พ่อแม่คนใกล้ชิดเป็นปัจจัยสำคัญ พยายามช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตปกติ หากยังตกใจ หวาดผวา ฝันร้าย ควรพบแพทย์

จากกรณีข่าวใหญ่ที่คนไทยและคนทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างกับภารกิจช่วยเหลือ 13 ชีวิต ทีมฟุตบอลหมูป่าที่เข้าไปติดอยู่ภายในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย

โดยทั้งหมดเข้าไปติดอยู่ในถ้ำลึกเป็นเวลาเกือบ10 วัน โดยมีกำลังจากเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ทั้งทหาร หน่วยกู้ภัย นักดำน้ำ ทีมขุดเจาะ ทีมไฟฟ้าและอีกหลาย ๆ ทีมของทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาช่วยกันค้นหากันอย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งพบทั้ง 13 ชีวิตในสภาพที่ปลอดภัย

แต่ปฏิบัติการช่วยเด็กนักเรียนทีมฟุตบอลหมูป่าและผู้ช่วยโค้ช ทั้ง 13 ชีวิต ยังคงดำเนินการต่อไป เพื่อให้ทุกคนได้ออกมาอย่างปลอดภัย แต่ที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากสภาพร่างกายแล้ว สภาพจิตใจก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน

เมื่อออกจากถ้ำได้แล้ว ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเชียงรายราชประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย เมื่ออาการปกติแพทย์ให้กลับบ้าน เด็กและผู้ช่วยโค้ชทั้ง 13 ชีวิตจะรับมืออย่างไรเมื่อกลายเป็นคนดัง เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากเหตุการณ์ติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนในครั้งนี้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงศุภรา เชาว์ปรีชา อาจารย์ประจำภาควิชา จิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิจ จ.ปทุมธานี ได้ให้คำแนะนำในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวว่า ประเด็นที่สำคัญในการปรับตัว คือ สำหรับตัวเด็กเองเมื่อออกจากถ้ำแล้ว เขาน่าจะตกใจกับภาพข่าวการที่คนรู้จักเขาไปทั่วโลก และการที่จะมีคนมารุมถามข้อมูลทั้งจากสื่อมวลชนหรือครอบครัว เครือญาติเอง จะเกิดการซักถาม อยากทราบข้อมูล อยากให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำ

ผศ.พญ.ศุภรา กล่าวอีกว่า ซึ่งการที่เด็กและผู้ช่วยโค้ชรวมทั้ง 13ชีวิต ที่เคยเป็นคนธรรมดา กลายเป็นที่จับตามองนั้น สามารถมองได้ 2 แง่ คือ แง่หนึ่งเขาอาจจะรู้สึกดี ขอบคุณที่ทุกคนเป็นห่วง แต่อีกแง่ที่น่าเป็นห่วงคือ คนที่รู้จักเขาแล้วอาจจะไปซักถามเขาเกี่ยวกับประสบการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เขาเจอในถ้ำ ซึ่งตรงนี้เราต้องระมัดระวังมากว่าเด็กจะต้องปรับตัว ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าเด็กแต่ละคนมีประสบการณ์อย่างไร

"เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเขาออกมาแล้วเจอคนที่ตั้งคำถาม ซึ่งมันอาจจะไปกระตุ้นให้กลับไปคิดถึงประสบการณ์ความยากลำบากในถ้ำ แล้วเขารู้สึกไม่ดี ก็อาจจะทำให้เขารู้สึกเครียดได้ ซึ่งหากร้ายแรงก็อาจจะเกิดเป็นโรคเครียดภายหลังเกิดภยันอันตรายหรือ Post-traumatic stress disorder (PTSD) ได้ ”จิตแพทย์ศุภรา กล่าว

ผศ.พญ.ศุภรา กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคเครียดภายหลังเกิดภยันอันตราย เกิดจากการที่เราไปเจอเหตุการณ์ร้ายแรงที่จะคุกคามถึงชีวิต แม้เวลาจะผ่านไป แต่ผู้ประสบภัยก็ยังคงคิดถึงเหตุการณ์นั้นอยู่ ซึ่งจะมีอาการ เช่น ตกใจ เหงื่อแตก หวาดผวา ฝันร้าย หรือเห็นเป็นภาพ flashback (รำลึกถึงภาพเหตุการณ์ในขณะนั้น) แต่มันไม่ได้เกิดกับทุกคนที่เผชิญเหตุการณ์ ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของแต่ละคน

ผศ.พญ.ศุภรา กล่าวอีกว่า แต่สำหรับคนที่สภาพจิตใจเข้มแข็งดี การให้เขาได้เล่า ก็อาจจะช่วยทำให้เขาได้เรียบเรียงเรื่องราว ซึ่งจะทำให้เขาเข้าใจประสบการณ์ชีวิตของตัวเองมากขึ้น ในกรณีนี้ก็จะไม่เป็นอันตราย แต่ทางที่ดีคือ เราควรประเมินจากตัวเด็กเป็นหลักว่า เขามีความพร้อมแค่ไหน มากกว่าที่จะเอาคำถามไปถามเขา หรือพยายามให้เขาเล่า โดยที่ไม่ได้ประเมินสภาพจิตใจของเขาก่อน ควรพิจารณาเป็นรายบุคคลไป เพราะประสบการณ์แต่ละคนไม่เท่ากัน การรับรู้มันแตกต่างกันแม้ว่าจะเผชิญสถานการณ์เดียวกันก็ตาม

“ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็ก คือ พ่อแม่ ผู้ปกครองและคนใกล้ชิด โดยมีขั้นตอนคือ ปลอบขวัญเด็กๆ เมื่อออกจากถ้ำได้แล้ว หลังจากนั้นเริ่มต้นด้วย การใช้ชีวิตแบบ Here and Now (ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน) พยายามทำให้เด็ก ๆ กลับมาใช้ชีวิตประจำวันแบบปกติ แต่ถ้าหากเขามีความพร้อม หรืออยากจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่ประสบมา พ่อแม่จึงค่อย ๆ พยายามใส่เนื้อหาที่มันเป็นเชิงบวกเข้าไป แบบนี้จะเป็นการช่วยเขาได้ดีที่สุดในช่วงแรก แล้วจากนั้นจึงคอยสังเกตอาการ เช่น ซึมเศร้า นอนไม่หลับ หากมีอาการผิดปกติเช่นนี้ถึงค่อยมาประเมินรายละเอียดแล้วค่อยรับการรักษา” ผศ.พญ.ศุภรา กล่าวทิ้งท้าย

17 July 2561

ที่มา คม-ชัด-ลึก

Posted By sty_lib

Views, 558

 

Preset Colors