02 149 5555 ถึง 60

 

คนไทยรับบุตรบุญธรรมเพิ่ม แนะบอกความจริงตอนลูกอายุ 3-4 ขวบ

คนไทยรับบุตรบุญธรรมเพิ่ม แนะบอกความจริงตอนลูกอายุ 3-4 ขวบ

เผยแพร่: 18 ก.พ. 2561 14:49:00 ปรับปรุง: 18 ก.พ. 2561 15:30:00 โดย: MGR Online

กรมสุขภาพจิต เผย คนไทยขอรับลูกบุญธรรมเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่า แนะ 7 ข้อคำนึงรับบุตรบุญธรรม ชี้ ควรรับตั้งแต่หลังคลอดทันทีหรือภายในช่วง 6 เดือนแรกจะสร้างความผูกพันได้ดีที่สุด ควรบอกความจริงกับปากตัวเองเมื่อเด็กอายุ 3 - 4 ขวบ

น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การขอรับบุตรบุญธรรมของครอบครัวไทยมีมากขึ้นกว่าอดีต จากสถิติของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รายงานในปี 2559 ทั่วประเทศมีผู้ที่จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม 9,339 คน เพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มีผู้ขอจดทะเบียน 1,389 คน โดยก่อนรับบุตรบุญธรรม ทั้งสามีและภรรยาจะต้องผ่านการตรวจสภาพจิตตามกระบวนการทดสอบทางจิตวิทยา เป็นไปตามกฎหมายการรับบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 เพื่อเป็นการคุ้มครองเด็กและเลือกสรรครอบครัวที่เหมาะสมให้กับเด็ก

น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า สำหรับคู่สมรสที่ต้องการรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง กรมสุขภาพจิต มีคำแนะนำ 7 ประการ เพื่อให้ทั้งเด็กและพ่อแม่บุญธรรมมีความผูกพันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ดังนี้ 1. ควรรับเด็กมาเลี้ยงตั้งแต่อายุไม่เกิน 6 เดือน เนื่องจากการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมหลังคลอดทันที จะทำให้เด็กมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างเด็กกับพ่อแม่บุญธรรม โดยในช่วงอายุ 4 - 6 เดือนแรก พ่อแม่บุญธรรมจะเป็นพ่อแม่คู่แรกและคู่เดียวที่เด็กพบและเกิดภาพที่ฝังใจ หากช่วงอายุเด็กเกิน 4 - 6 เดือนไปแล้ว จะเป็นช่วงที่เด็กรู้จักคนแปลกหน้าและกังวลต่อการพลัดพรากสูง หากนำมาเลี้ยงในช่วง 3 - 4 ขวบ เด็กอาจรู้สึกโกรธที่ถูกพลัดพรากจากครอบครัว อาจมีปัญหาปรับตัวเข้ากับพ่อแม่บุญธรรม

2. ควรให้แพทย์ตรวจร่างกายเด็กอย่างละเอียดและไม่พบความผิดปกติ 3. ตรวจสอบโรคที่สำคัญในเด็กเช่น เชื้อกามโรค (VDRL) การทดสอบภูมิต้านเชื้อวัณโรค (Tuberculin test) เป็นต้น 4. ตรวจสอบภูมิหลังของเด็กพอควรแล้วว่าไม่มีอะไรที่ทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติ 5. ถ้าเป็นเด็กโต ควรเป็นเด็กที่นับถือศาสนาเดียวกัน 6. ควรเป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ที่ไม่แต่งงาน อาจทำตัวให้เป็นทั้งบิดาหรือมารดาในเวลาเดียวกันได้ยาก และ 7. ควรมีการบอกความจริงแก่เด็ก

“ช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรบอกตั้งแต่เด็กอายุยังน้อยประมาณ 3 - 4 ขวบ ซึ่งเด็กพอจะสามารถเข้าใจได้บ้าง และควรบอกให้เด็กรู้เป็นระยะๆ เพื่อลดความกังวลและความสับสน เมื่อเด็กโตขึ้นก็จะค่อยๆ เข้าใจมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการดีที่เด็กรู้ความจริงจากปากของพ่อแม่บุญธรรม ดีกว่าฟังจากคนอื่น ซึ่งอาจพูดถึงในแง่ดีหรือไม่ดีก็ได้ การที่เด็กรู้ความจริงภายหลัง จะสร้างความกระทบกระเทือนใจเด็ก ยิ่งไปกว่านั้น การปิดบังความจริงยิ่งทำให้พ่อแม่บุญธรรมต้องกังวลใจเรื่อยๆ ที่กลัวว่าเด็กจะรู้ความจริง ในการบอกความจริงแก่เด็กนั้น พ่อแม่บุญธรรมไม่ควรบอกในขณะที่กำลังมีอารมณ์โกรธ หรือมีการพูดย้ำไปย้ำมา เนื่องจากเด็กอาจเกิดความรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ต้องการเขา ประการสำคัญที่สุดในขณะพูดนั้นพ่อแม่จะต้องแสดงออกถึงความรักทั้งท่าทาง น้ำเสียง และคำพูด” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว

นพ.ศรุตพันธุ์ จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เขตทวีวัฒนา กทม. กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันฯได้จัดทำแนวทางตรวจสภาพจิตตามกระบวนการทดสอบทางจิตวิทยาให้แก่ผู้ขอรับบุตรบุญธรรม ให้โรงพยาบาลจิตเวชในสังกัดกรมสุขภาพจิตทั้ง 13 แห่ง เพื่อให้บริการประชาชนเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เป็นไปตามพระราชบัญญัติการรับบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 และกฎกระทรวง พ.ศ. 2554 ว่าด้วยการสอบคุณสมบัติและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่และความเหมาะสมของผู้ขอรับบุตรบุญธรรมบุคคลผู้มีอำนาจให้ความยินยอมในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม และเด็กที่จะเป็นบุตรบุญธรรม โดยจัดทีมสหวิชาชีพประกอบด้วย จิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลจิตเวชให้บริการทดสอบตามมาตรฐาน ทั้งในด้านอารมณ์ การจัดการความเครียด การทดสอบสภาพทางจิตและบุคลิกภาพ การทอดสอบระบบประสาทหรืออื่นๆที่เหมาะสมรวมทั้งประวัติการเจ็บป่วย ประวัติครอบครัว

นพ.ศรุตพันธุ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2559 - 2560 มีผู้ขอรับบุตรบุญธรรมตรวจสภาพทางจิตที่สถาบันฯรวม 287 คน กว่าร้อยละ 98 พบว่าปกติ มีความเหมาะสมในการเป็นผู้อุปการะเด็ก และจากการศึกษาสภาวะสุขภาพจิตและลักษณะบุคลิกภาพของผู้ขอรับบุตรบุญธรรมในรอบ 4 - 5 ปีมานี้ พบอายุเฉลี่ย 44 ปี โดยรวมทั้งชายและหญิงมีบุคลิกภาพปกติ มีความรับผิดชอบสูง มีความเป็นผู้นำ มีคุณธรรม จิตใจเข้มแข็ง อดทนต่อภาวะกดดันต่างๆ ได้ดี ควบคุมอารมณ์และแสดงออกเหมาะสม ส่วนมากมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเด็ก โดยเป็นปู่ย่าตายายร้อยละ 25 ลุงกับป้าร้อยละ 17 มีความต้องการอุปการะเลี้ยงดูเด็กร้อยละ 42 และเพื่อให้เป็นบิดามารดาอย่างถูกต้องตามกฎหมายร้อยละ 41 สามารถให้การดูแลส่งเสริมให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ประชาชนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถโทรขอรับคำปรึกษาได้ที่หมายเลข 02-4416100 และต่อที่คลินิกบุตรบุญธรรม

19 February 2561

ที่มา ผู้จัดการ ออนไลน์

Posted By STY_Lib

Views, 4134

 

Preset Colors